บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก 2010

พุทธทำนาย

รูปภาพ
          พระพุทธเจ้าทรงทำนายพระสุบินของพระเจ้าปเสนทิโกศลไว้ จำนวน 16 ข้อ และตรัสไว้ว่า เหตุการณ์เหล่านั้นจะเกิดขึ้นในยุคสมัยที่ศาสนาได้เสื่อมลง เนื้อความโดยละเอียดปรากฏอยู่ใน อรรถกถาพระไตรปิฎก มหาสุบินชาดก เอกนิบาตชาดก ขุททกนิกาย ซึ่งในครั้งนี้จะขอยกขึ้นมากล่าวถึงเฉพาะ ข้อที่ 13 เท่านั้น ข้อความมีว่า           พระเจ้าปเสนทิโกศลกราบทูลพระสุบินถวายพระพุทธเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันได้เห็นศิลาแท่งทึบใหญ่ขนาดเรือนยอด ลอยน้ำเหมือนดังเรือ อะไรเป็นผลแห่งสุบินนี้ พระเจ้าข้า?           มหาบพิตร ผลแห่งสุบินแม้นี้ ก็จักมีในกาลเช่นนั้นเหมือนกัน ด้วยว่าในครั้งนั้น พระราชาผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรมทั้งหลาย จักพระราชทานยศแก่คนไม่มีสกุล พวกนั้นจักเป็นใหญ่ พวกมีสกุลจักตกยาก ใครๆ จักไม่ทำความเคารพในพวกมีสกุลนั้น จักกระทำความเคารพในพวกที่เป็นใหญ่ฝ่ายเดียว ถ้อยคำของกุลบุตรผู้ฉลาดในการวินิจฉัย ผู้หนักแน่น เช่นกับศิลาทึบ จักไม่หยั่งลงดำรงมั่นในที่เฉพาะพระพักตร์ของพระราชา หรือในที่ประชุมอำมาตย์ หรือในโรงศาล เมื่อพวกนั้นกำลังกล่าว พวกนอกนี้จักคอยเยาะเย้ยว่า พวกนี้พูดทำไม แม้ในที่ประชุมภิกษุ พวกภิกษ

งบประมาณแผ่นดิน

รูปภาพ
          งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕ ๕๔ (ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 127 ตอนที่ 60 ก ลงวันที่ 28 กันยายน 2553) ช่วงเวลาที่ควรจะมีการเฝ้าจับตามองของประชาชนทั้งแผ่นดินว่าเงินรายได้ทั้งหมดของรัฐนั้นได้มีการนำไปใช้จ่ายอย่างถูกต้องตามเจตนารมณ์ของรัฐบาลหรือไม่? และเงินทั้งหมดก่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนหรือไม่? มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔" มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ เป็นต้นไป มาตรา ๓ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้ตั้งเป็นจำนวน รวมทั้งสิ้น ๒,๐๗๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท จำแนกเป็นรายจ่ายตามที่จะระบุต่อไปในพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๔ งบประมาณรายจ่ายงบกลางในความควบคุมของกระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณ ให้ตั้งเป็นจำนวน ๒๖๕,๗๖๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท........ มาตรา ๕ งบประมาณรายจ่ายของสำนักนายกรัฐมนตรีและหน่วยงานในกำกับให้ตั้งเป็นจำนวน ๒๔,๓๕๘,๘๑๒,๑๐๐ บาท........ มาตรา ๖ งบประมาณรายจ่ายของกระทรวงกลาโหมและหน่วยงานในกำกับ ให้ตั้งเป็น จำนวน ๑๖๘,๕๐๑,๘๒๘,๓๐๐ บาท........

เดินตามข่าว

รูปภาพ
          "เดินตามข่าว" ไม่ได้หมายความว่าผมจะเดินตามข่าวจริงตามที่เขียนไว้เพราะคงไม่มีมนุษย์หน้าไหนที่จะเดินตามกระแสสังคมได้หมดทุกเรื่อง และคำว่าข่าวก็กว้างเกินกว่าที่มนุษย์หน้าไหนจะรู้ความหมายของมัน นอกจากผู้ที่ต้องทำมาหารับประทานกับการข่าวในทุกรูปแบบ ทั้งด้วยวิธีการทำมาหากินด้วยการตกเป็นข่าว  การเอาตัวให้อยู่รอดปลอดภัยด้วยการปั้นข่าว หรือการกระจายข่าวอันเป็นเท็จเพื่อให้ผู้คนหลงประเด็นแล้วก็เกิดผลเสียหายกับสังคมโดยรวมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งในสังคมไทย จนเกือบจะเคยชิน            แต่ที่จะพูดถึงก็คือบทบาททาการเมืองของ "นักการเมืองอาชีพ" ที่มีการแบ่งออกเป็นฝักเป็นฝ่ายอย่างขัดเจน และชูนโยบาย ยึดมั่นในตัวบุคคลเป็นหลักมากกว่าการยึดถือประเทศชาติเป็นสำคัญ ซึ่งทำให้เกิดความรู้สึกอ่อนล้าในอารมณ์อย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน มีความรู้สึกถึงความอ่อนแอในความเป็นประชาธิปไตยของประเทศที่พยายามก้าวผ่านจากเงื้อมมือของเผด็จการมาอย่างยากเย็น ตั้งแต่ 14 ตุลาคม 2516 จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่หลุดพ้น แต่นักการเมืองส่วนมากยังคงอาศัย "ประชาธิปไตย" เป็นช

ก็แค่อยากคิดดูบ้าง

รูปภาพ
          ว่างๆ ก็หยิบหนังสือกฎหมายมาอ่านเล่นตามความเคยชิน และวันนี้ก็นึกอยากจะเห็นแนวความึิดของคนรุ่นเก่าๆ เพื่อจะลองเปรียบเทียบความแตกต่างกับในวันนี้ว่ามีข้อแตกต่างกันมากมายเพียงใด แล้วก็บังเอิญไปสะดุดมือที่ พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 ซึ่งจำได้ว่าเคยพูดถึงมาครั้งหนึ่ง แต่นั่นเป็นบทความของ รองศาสตราจารย์ ดร. นันทวัฒน์ บรมานันท์ อาจารย์ประจำ คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรื่อง ข้อสังเกตบางประการเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญฉบับแรกของไทย ใจความเป็นอย่างไรก็อ่านดูได้จากลิงค์ด้านข้างครับ ในกลุ่มที่ระบุว่า "ไม่มีความหมาย" น่ะครับ เหตุผลที่ต้องบอกว่าไม่มีความหมายก็เพราะไม่อยากตอบคำถามใครทั้งนั้น           ในส่วนที่สำคัญที่สุดและอาจมีผลกระทบตามมาก็จะไม่พูดถึงล่ะ แต่จะขอไปมองดูเนื้อหาอื่นๆ ต่อไปจะดีกว่า           " มาตรา ๙ สภาผู้แทนราษฎรมีอำนาจดูแลควบคุมกิจการของประเทศ และมีอำนาจประชุมกันถอดถอนกรรมการราษฎรหรือพนักงานรัฐบาลผู้หนึ่งผู้ใดก็ได้ " มาตรานี้ระบุตัวตนที่่แท้จริงของผู้บริหารประเทศออกมาอย่างชัดเจนว่าเป็นระบบเผด็จการของรัฐสภายุ

ปล่อยใจให้ล่องลอย

รูปภาพ
          ไม่ควรจะเป็นเรื่องแปลกหากจะปล่อยวางจิตใจให้ล่องลอยไปกับบรรยากาศของการพักผ่อนคลายอารมณ์ตามแบบที่เราต้องการ ถอยห่างออกจากความกังวลในจิตใจสักช่วงเวลาหนึ่ง แม้จะเพียงห้านาทีสิบนาที แต่ช่วงเวลาเหล่านั้นกลับมีค่ามากมายต่อชีวิตของเรา เพราะการมีโอกาสได้พักผ่อนร่างกายก็เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการดำเนินชีวิตตามวิถีของสังคม แต่การมีโอกาสได้พักผ่อนจิตใจเพียงเสี้ยวเวลาหนึ่งก็เหมือนกับการได้พักผ่อนอารมณ์ให้คลายจากความเหนื่อยล้าของอารมณ์           ศรัทธาในความเป็นตัวของเราเองย่อมสร้างความมั่นใจให้กับการก้าวเดินไปตามวิถีทางของสังคม การสร้างความเข้มแข็งให้กับจิตใจจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด อารมณ์ที่ได้ผ่อนคลายสามารถสร้างความมั่นคงให้กับอารมณ์อย่างถูกหนทาง เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับจิตใจในการต่อสู้ห้าหั่นกับความโหดร้ายของสังคมมนุษย์ อยู่ที่ตัวเราเองที่จะเป็นผู้เลือก           แต่ถ้ายังไม่รู้จะเลือกอะไรก็จะเลือกให้เองด้วยเพลงเพื่อการผ่อนคลายโดยเฉพาะ ท้ั้งด้วยโสตประสาทและทางสายตากับเพลงที่จัดมาให้สำหรับช่วงเวลาของการพักผ่อนทางอารมณ์ อ้อลืมบอกไปว่าก่อนจะกดปุ่มเปิดเพลงฟังก็กรุณากดปุ่

เพื่อผ่อนคลาย

ประวัติศาสตร์ เป็นสิ่งหนึ่งที่เปรียบเสมือนกระจกเงาที่ส่องสะท้อนให้เห็นถึงความกระหายในอำนาจของผู้นำ ประเทศ ที่บริหารบ้านเมืองดโยให้ความสำคัญกับตัวเองมากกว่าเลือดเนื้อและชีวิตของประชาชน ออกเดินทางไปบนเส้นทางอย่างมืดบอด  ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ช่วงปี พ.ศ.2482-2488   ประเทศผู้ร่วมสงครามได้รวมตัวกันเป็นพันธมิตรสองฝ่ายอันเป็นคู่สงคราม ได้แก่ ฝ่ายสัมพันธมิตร   และฝ่ายอักษะ ใน ระหว่างสงครามมีการระดมกำลังทหารมากกว่า 100 ล้านนาย   สงครามครั้งนี้มีการประมาณการค่าใช้จ่ายไว้ว่ามีมูลค่าราว 1 ล้านล้านดอลล่าร์  และนับว่าเป็นสงครามขนาดใหญ่ที่สุด ใช้เงินทุนมากที่สุด   และนองเลือดที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ได้มีการประมาณว่ามีผู้เสียชีวิตจากสงครามโลกครั้งที่สองไว้อย่างหลากหลาย แต่ส่วนใหญ่ได้เสนอว่าคิดเป็นจำนวนมากกว่า 60 ล้านคน ประกอบไปด้วยทหารอย่างน้อย 22 ล้านคน และพลเรือนอย่างน้อย 40 ล้านคน สาเหตุเสียชีวิตของพลเรือนส่วนใหญ่นั้นมาจากโรคระบาด การอดอาหาร การฆ่าฟัน และการทำลายพืชพันธุ์ ด้านสหภาพโซเวียตสูญเสียประชากรราว 27 ล้านคนระหว่างช่วงสงคราม คิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของความสูญเสียทั้งหมดระหว่างสงครามโ

เครียดกับข่าว

บอกตรงๆ ว่าเครียดในหลายๆ เรื่อง เอาอย่างนี้ดีกว่า มาฟังเพลงให้สมองโล่งเถอะ Everything I Own - Bread To Sir With Love – LuLu Bee Gees - I Started A Joke แล้วก็อย่าว่ากันนะ ถ้าจะพลิกโลกไปอีกด้าน แถมอีกหนึ่ง เอ ... ไม่ใช่เพลงแฮะ พอก่อนนะเลือกฟังเอาเอง

ติดตามข่าว

ใน YouTube วันนี้มีเหตุการณ์ในเมืองไทยมากมายถูกนำมาลงไว้ทั้งด้วยคนของฝ่ายขวา ฝ่ายซ้าย รวมถึงฝ่ายฉวยโอกาสซ้ำเติมเชื้อไฟ แต่มีอยู่เพลงหนึ่งที่ถูกนำไปดัดแปลงให้เข้ากับสถานการณ์ได้ดีมากที่สุดเพลงหนึ่ง ก็อยากให้ฟังดู ทั้งด้วยความไพเราะของดนตรีและจากภาพประกอบที่ได้อารมณ์สะเทือนความรู้สึกได้มากที่สุดเพลงหนึ่ง แต่อย่าถามผมนะว่ามีความรู้สึกอย่างไร ? ขอให้คิดไว้ว่าผมก็เป็นคนไทยคนหนึ่งที่มีอารมณ์ มีความรู้สึกเหมือนกัน ไม่ใช่พระอรหันต์ หรือ พวกเศษมนุษย์ที่ใช้น้ำตา ชีวิต เลือดเนื้อและความสูญเสียของประเทศชาติและประชาชนมาเป็นสนามประลองความมักมากในอำนาจ เพียงเพื่อรักษาผลประโยชน์ส่วนตนเท่านั้น โดยไม่เคยคำนึงถึงความรู้สึกของประชาชนทั่วไปในแผ่นดิน ส่วนตัวเองกับครอบครัวพากันเสวยสุขอย่างไม่อนาทรร้อนใจต่อความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับแผ่นดินเกิด

เกิดจากตัณหา

รูปภาพ
มีโอกาสแวะเวียนไปเยี่ยมชมบรรดาเว็บบล็อคของชาวบ้านทั่วโลก ก็พบกับความเอาจริงเอาจังและให้ความสำคัญกับเรื่องราวในบล็อคของตนทั้งสิ้น คงมีแต่เราเท่านั้นที่ยังคงมองบล็อคเหมือนกับสนามประลองความสามารถในโลกไร้พรมแดน แต่ก็คิดอยู่เหมือนกันว่าน่าจะได้เวลาที่สมควรในการเริ่มกำหนดจุดหมายและแนวทางของการเขียนบล็อคให้เป็นเรื่องเป็นราวเสียที เผื่อจะเห็นแก่นสารในชีวิตและพบทางนิพพานเสียที ซึ่งเรื่องที่จะเขียนก็มีหลายแนวทาง เมื่อนำมาพินิจพิเคราะห์ใช้วิจารณญานและสติปัญญาที่มีอยู่ท่วมหัว(แต่เอาตัวไม่รอด)มากลั่นกรองดูอย่างมั่นใจแล้ว ..... สรุปได้ว่าคงไม่มีสาระเช่นเคย ทำไงได้ โลกเราทุกวันนี้มันมีสาระอะไรให้สนใจนัก นอกจากการดิ้นรนไขว่คว้า แสวงหาอำนาจ แล้วก็แสวงหาทรัพย์สินด้วยวิธีการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเบียดบังผลประโยชน์ของประเทศชาติ เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น มีแต่ความเห็นแก่ตนเป็นที่ตั้ง เรื่องความน้ำใจนั่นเป็นสิ่งไร้สาระที่สุด นีแหละโลกเรา บอกก่อนนะรูปข้างบนนี่ได้มาจากเมล์ที่ส่งกันไปมาว่อนในช่วงเหตุการณ์คนแดงเดือดในช่วง เมษายน 2553 ถึง พฤษภาคม 2553 ไม่ได้คิดอะไรหรอก เพราะมองดูภาพนี้แล้วมันบอกไม่ถูกว่ารู้สึก

กฎหมายมีเพื่อใคร?

ช่วงเวลาที่ผ่านมาประมาณสามปีกว่าๆ ได้พยายามเก็บรวบรวม กฎหมายไทย โดยจัดแบ่งเป็นหมวดหมู่หลายแนวทาง ทั้งที่แบ่งตามลำดับความสำคัญ แบ่งตามประเภทของกฎหมาย แบ่งตามความรับผิดชอบของแต่ละกระทรวง แบ่งตาม ฯลฯ แต่ดูเหมือนกฎหมายไทยมันออกจะมากมายจนตามเก็บไม่หวาดไม่ไหว มันมากมายจนท่วมท้น บางฉบับก็ออกมาทับซ้อนกัน บางฉบับก็ออกมาล้มล้างฉบับอื่นที่ยังไม่ยกเลิก บางฉบับออกมาโดยไม่มีเหตุผล บางฉบับก็ออกมาเพื่อบังคับใช้ครั้งเดียว จึงทำให้เกิดความสับสนว่าจะออกมาทำไมฟุ่มเฟือยนัก ทั้งๆ ที่ หลักการที่เป็นหัวใจสำคัญของกฎหมายนั้นก็มีอยู่เพียง 2 ประการเท่านั้นเอง คือ 1. ออกมาแล้วมีผลบังคับใช้เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน 2. ออกมาแล้วมีจุดหมายเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน เพื่อครอบครัว และเพื่อเพื่อนพ้องบริวาร ในช่วงเวลาที่ผ่านมาการเจริญเติบโตของประชาธิปไตยเป็นไปอย่างยากเย็นแสนเข็ญ สาเหตุมาจากจุดมุ่งหมายในการออกกฎหมายส่วนมากจะเป็นการออกมาเพื่อผลประโยชน์ตาม ข้อ 2. อันสืบเนื่องมาจากพื้นฐานของประชาธิปไตยเรามีที่มาจากขุนนางเดิมในระบอบเดิมที่มักจะทำตัวเป็นผู้ยิ่งใหญ่เหนือกว่าประชาชน จะเป็นรองก็เฉพาะ พระเจ้าแผ่นดินเท่า

วงจรของสังคม

เหตุที่ทิ้งช่วงห่างออกมา ไม่ใช่ว่าละเลยต่อการแสดงความรู้สึกภายในและแนวความคิดส่วนตัว แต่ว่าได้ลบบความเดิมที่เคยเขียนไว้ออกทั้งหมดไปแล้วจากการนำเสนอและลบมันออกไปหมดสิ้นจากความทรงจำอย่างถาวร และก็ไม่ยินดีที่จะหวนกลับไปคิดถึงมันอีกครั้ง แต่ในส่วนลึกของจิตใจยังคงสับสนต่ออนาคตของประเทศชาติภายใต้เงื้อมมือของผู้บริหารที่นับวันมีแต่การแก่งแย่งชิงดี ลุ่มหลงมัวเมาในอำนาจบารมีและมุ่งหวังแต่การแสวงหาผลประโยชน์จากการทำงาน ปัญหาส่วนนั้นได้เกิดขึ้นมาตั้งแต่ก่อนปี 2475 แล้วและยังคงต้องมีต่อไป หากทว่าขณะนี้ปัญหาเหล่านั้นกำลังกระจายลงไปสู่ประชาชนในทุกระดับ ก่อให้เกิดการแบ่งพรรคแบ่งพวก แบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย มีการวางแผนกำหนดนโยบายแยกนกออกจากฟ้าแยกปลาออกจากน้ำ บ่อนทำลายระบบของสังคมไทยที่บรรพบุรุษได้เพียรพยายามสืบทอดกันมาอย่างไม่มีวันหวนกลับไปเป็นดังเดิมได้อีกแล้ว นับวันมีแต่จะกระจัดกระจายแตกแยกเป็นเสี่ยงๆ ประชาชนกำลังหันไปยึดเกาะอยู่กับ "ระบบอุปถัมภ์" ดิ้นรนหาที่ยึดเหนี่ยวโดยไม่มีสติ ที่จะระลึกได้ถึงความถูกต้อง ความชอบธรรม ในสังคม ลืมแม้แต่คำว่า "ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์" เพียงเพื่อสน