tag:blogger.com,1999:blog-5724276740472733642024-03-13T08:30:43.353+07:00ด้วยลมหายใจที่เหลืออยู่ซึ่งยังคงหวังว่าจะยาวนานพอchanin1222http://www.blogger.com/profile/00249325908672343913noreply@blogger.comBlogger40125tag:blogger.com,1999:blog-572427674047273364.post-8909439578549931532023-08-22T12:47:00.000+07:002023-08-22T12:47:01.192+07:00การเมืองสีเทาดำ<p> </p><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiKQ2tMpOBIBgEyu4gPZgQvM1az-j0Lc2xMlABAKh8DY6joCCq4Nxln232CLuX0uupwRHyfm50i13IBV9QM_5kNYn0Mp_gTQqsSOazfF2SBTKUcfn-Pfb2U09yOBQ_QLXUgvvpY39_zVm0Zcp3_MIuZR6RHs2Nx7N57x_spKVKrZhdaeV3gEIhnIjTIfEl7/s1920/442.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="1080" data-original-width="1920" height="225" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiKQ2tMpOBIBgEyu4gPZgQvM1az-j0Lc2xMlABAKh8DY6joCCq4Nxln232CLuX0uupwRHyfm50i13IBV9QM_5kNYn0Mp_gTQqsSOazfF2SBTKUcfn-Pfb2U09yOBQ_QLXUgvvpY39_zVm0Zcp3_MIuZR6RHs2Nx7N57x_spKVKrZhdaeV3gEIhnIjTIfEl7/w400-h225/442.jpg" width="400" /></a></div><br /><p></p><p style="text-align: justify;">สังคมไทย มีการขยายตัวในทุกด้านอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ซึ่งก็เป็นไปตามกระแสความเคลื่อนไหวของสังคมโลก ปัจจัยสำคัญของเรื่องเหล่านี้ ก็คือ รัฐบาล ที่จะต้องมีวิวัฒนาการของแนวนโยบายในทางที่เหมาะสม เพื่อให้ก้าวทันต่อความเปลี่ยนแปลง แต่ก็จะต้องยึดมั่นใน 3 เสาหลักของประเทศ ต้องยึดมั่นในขนบธรรมเนียม ประเพณี และวัฒนธรรมอันดีของชาติเอาไว้ อย่างเหนียวแน่น เพราะในความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์โดยรวมของสังคมโลก ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หลายประเทศกำลังตกอยู่ภายใต้อำนาจมืดจากชาติมหาอำนาจ ที่เข้ามากำกับควบคุม และชี้นำชักใยอยู่เบื้องหลังตลอดมา </p><p style="text-align: justify;">ขึ้นอยู่กับที่ว่า เราจะยอมรับความจริงกันได้มากน้อยเพียงใด </p><p style="text-align: justify;">วิวัฒนาการทางสังคมยุคใหม ทำให้โลกตกอยู่ภายใต้การควบคุมชี้นำทางการเมือง ไม่มีระบอบการปกครองรูปแบบใด ที่ให้อำนาจสูงสุดแก่ประชาชน ตามคำกล่าวอ้างของนักการเมือง ทุกประเทศบนโลกต้องถูกปกครองโดยนักการเมืองทั้งสิ้น เพียงแต่กล่าวอ้างถึงระบอบการปกครอง ที่มีประชาชนเป็นเจ้าของประเทศที่แท้จริง และประชาชนเป็นผู้เลือกสรรผู้แทนของตน ขึ้นมาทำหน้าที่บริหารปกครองประเทศ ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของประชาชน และเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน </p><p style="text-align: justify;">นั่นคือบทบัญญัติ ที่เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญการปกครองของทุกประเทศ </p><p style="text-align: justify;">ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว รัฐบาลจัดตั้งขึ้นมาจากพรรคการเมือง ที่ได้รับคะแนนเสียงมาจากการเลือกตั้งสูงสุด ซึ่งไม่ได้หมายความว่า จะเป็นพรรคการเมืองที่ได้รับคะแนนเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนทั้งประเทศ เพราะไม่เคยมีประเทศใดในลก ที่มีประชาชนมาลงคะแนนเสียงเลือกตั้งถึง 100 % ซึ่งพรรคการเมืองที่เป็นผู้ชนะอาจได้คะแนนเสียงมาเพียง 10 % ของประชาชนทั่วทั้งประเทศเท่านั้นเอง เมื่อวัดจากจำนวนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง คะแนนเสียงของพรรคการเมืองอื่น คะแนนเสียงของผู้ที่ไม่ประสงค์จะเลือกผู้ใด จำนวนบัตรเสียที่มีอยู่ ดังนั้น ผลของการเลือกตั้งจึงไม่ใช่เสียงของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศเสมอมา </p><p style="text-align: justify;">ช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาของโลก มีนักการเมืองผุดขึ้นมามากมายราวกับดอกเห็ด ด้วยจุดมุ่งหมายที่แตกต่างกันออกไป และเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพของสังคม จากเดิมมาจากผู้นำชุมชนที่มีความเป็นผู้นำอย่างแท้จริง สามารถปกครองนำพาประชาชนก้าวผ่านความยากลำบากนานาประการ ทั้งจากการสู้รบในสงคราม การริเริ่มก่อตั้งชุมชนที่เข้มแข็งมั่นคง แต่หลังจากนั้นมา ผู้นำประเทศเริ่มเปลี่ยนแปลงไป อาจจะมาจากการแก่งแย่งช่วงชิงอำนาจ การสถาปนาตัวขึ้นมาจากอำนาจและอิทธิพล สร้างความหวาดกลัวให้กับประชาชน อาจจะมาจากการโกหกหลอกลวงด้วยวิธีการต่าง ๆ นาๆ </p><p style="text-align: justify;">ผู้นำเหล่านี้ มีความพยายามในการสืบทอดอำนาจตามสายเลือด ทั้งนี้ เพื่อความต่อเนื่องในการแสวงหาผลประโยชน์ของตนและพวกพ้อง </p><p style="text-align: justify;">เครื่องมือสำคัญที่สุดของผู้นำเหล่านี้ คือ ประชาชนผู้หลงเชื่อ </p><p style="text-align: justify;">เครื่องมืออีกประการหนึ่ง ก็คือ บรรดาสมุนบริวารที่คอยติดตามรับใช้อย่างซื่อสัตย์</p><p style="text-align: justify;">เครื่องมืออีกประการหนึ่ง ก็คือ บรรดาข้าราชการที่มุ่งหวังผลประโยชน์ตอบแทน </p><p style="text-align: justify;">เครื่องมืออีกประการหนึ่ง ก็คือ กระบวนการนิติบัญญัติ ที่สามารถ บัญญัติ แก้ไข เปลี่ยนแปลงกฎหมาย เพื่อเอื้ออำนวยประโยชน์ให้กับตน</p><p style="text-align: justify;">จึงไม่แปลกที่ประเทศไทย จะมีนักการเมืองเพิ่มขึ้นมาทุกวัน เป็นทวีคูณ ไม่ว่าจะเป็น ผู้มีอิทธิพล เศรษฐีคนมีเงิน ประชาชนคนธรรมดา พ่อค้า นักธุรกิจ ข้าราชการ หรือแม้แต่เด็กที่ยังเรียนหนังสือไม่จบ</p><p style="text-align: justify;">เพราะ เส้นทางทางการเมือง มันหอมหวานยั่วยวนใจ ชวนให้หลงไหลเสียเหลือเกิน</p><p style="text-align: justify;"><br /></p>chanin1222http://www.blogger.com/profile/00249325908672343913noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-572427674047273364.post-85907712245938263602022-12-05T13:13:00.003+07:002022-12-05T13:13:58.325+07:00เวลาที่ผ่านไป<p> </p><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhld2aJUrAd9_gegt_AEe7nEdgxdf6hqoBzYXOon8kPoEqCssJknDTN8lu2PiiLrGOSDnLXXPg3j_4Zf_15IwtFSPmfDax4_ryvUORARLAZLgGWPHzeIfwkZG9Iu5iYb06NtKJ3B7bx07-LsSv7pl8dOTPd6uWKT2QJmC2GQODpgmyKgUUQHSdpGJD5Bg/s3120/img0105.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="2040" data-original-width="3120" height="261" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhld2aJUrAd9_gegt_AEe7nEdgxdf6hqoBzYXOon8kPoEqCssJknDTN8lu2PiiLrGOSDnLXXPg3j_4Zf_15IwtFSPmfDax4_ryvUORARLAZLgGWPHzeIfwkZG9Iu5iYb06NtKJ3B7bx07-LsSv7pl8dOTPd6uWKT2QJmC2GQODpgmyKgUUQHSdpGJD5Bg/w400-h261/img0105.jpg" width="400" /></a></div><br /><p></p><p style="text-align: justify;">ต้นปี 2516 เป็นช่วงเวลาที่ชีวิตยังคงมองหาจุดหมายอะไรไม่เจอสักอย่าง เพียงแต่ทำงานเพื่อหาเงินมาเป็นค่าอาหารประทังชีวิตแล้วก็หายใจทิ้งไปวัน ๆ ในวันที่ถ่ายภาพนี้ที่ปั๊มน้ำมันสามทหาร ชานอำเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรี ในสถานะเด็กปั๊มเพียงคนเดียว กับมีเสมียนสาวอยู่คนหนึ่งซึ่งเป็นหลานสาวเจ้าของปั๊มน้ำมัน อดีต ส.ส.จังหวัดปราจีนบุรี ช่วงเวลานี้ยาวนานไม่ถึง 2 เดือน แต่ก็ต้องเปลี่ยนย้ายไปประจำอยู่ที่ปั๊มน้ำมันสามทหาร สี่แยกกบินทร์บุรี จากนั้นก็ต้องไปต่อที่ปั๊มนำมันสามทหารอำเภออรัญประเทศ ข้างค่ายทหาร ซึ่งตอนนี้เปลี่ยนแปลงไปมากมายแล้ว เนื่องจากเจ้าของปั๊มทั้ง 3 แห่งมีเจ้าของคนเดียวกัน และที่นี่ก็เป็นจุดสุดท้าย </p><p style="text-align: justify;">แต่ไม่ใช่จุดสุดท้ายของชีวิตนะ</p><p style="text-align: justify;">พอดีได้ข่าวว่าโรงเรียนการช่างปราจีนบุรี เปิดรับสมัครนักเรียนในสายอาชีพ และเสียค่าเล่าเรียนเพียงปีละ 80 บาท จึงตัดสินใจสมัครเข้าเรียนในแผนกช่างก่อสร้าง อันที่จริงปีนั้นเขาเปิดรับแผนกช่างยนต์เป็นรุ่นแรกเสียด้วย แต่ก็ไม่ได้สนใจเพราะไม่ชอบเปรอะเปื้อนน้ำมันอะไรอีกต่อไปแล้ว วิชาที่เรียนในยุคนั้นก็เป็นช่างก่อสร้างเต็มรูปแบบเสียด้วย ตั้งแต่ กลศาสตร์ คณิตศาสตร์ช่าง การคำนวณโครงสร้าง เขียนแบบ ช่างไม้ ช่างปูน ช่างประปา ช่างสี ช่างไฟฟ้า ไม่นับงานระดับจับกังครบถ้วน เรียกว่าเรียนจบก็สามารถปลูกหบ้านได้เองด้วยตัวคนเดียว (ถ้าบ้าพอนะ) ในระหว่างที่ยังเรียนอยู่นั้น ก็จับกลุ่มเพื่อนสนิทออกไปรับงานก่อสร้างบ้าง หาเงินไว้เที่ยวกันตามประสาวัยรุ่น ไปแวะเที่ยวค้างคืนบ้านเพื่อนคนนั้นคนนี้บ้างเป็นบางวัน </p><p style="text-align: justify;">หลายปีผ่านไป เพื่อนที่เรียนการช่างรุ่นเดยวกันก็หยุดหายใจไปแล้วหลายคน บางคนก็อยู่ในกลุ่มเพื่อนสนิทกันมาก ๆ ชนิดที่ว่าไปเป็นทหารก็อยู่ใกล้ ๆ กันอีก แล้วก็แวะไปกินเหล้ากันแทบทุกวัน จนถึงวันที่เพื่อประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตเมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้ว เพื่อนร่วมรุ่นอีก 2 คนก็มาเป็นทหารชั้นนนายสิบอยู่ในค่ายเดียวกัน คนหนึ่งเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุขณะที่ออกสนามตั้งแต่ช่วงปี 2526 อีกคนก็เสียชีวิตด้วยอาการป่วยตามปกติ เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วนี่เอง และตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาก็มีโอกาสได้รับรู้ว่าเพื่อนบางคนก็จากไปด้วยสาเหตุต่าง ๆ อีกไม่น้อย</p><p style="text-align: justify;">ไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเปล่า ที่ยังคงมีชีวิตอยู่รอดมาจนถึงวันนี้</p><p style="text-align: justify;">เพราะคนที่จากไปน่าจะสุขสบายดีกว่าคนที่ยังหายใจอยู่ ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานด้วยวัยที่สูงขึ้น โรคภัยที่เข้าเย่ี่ยมเยืยนมากมายหลายชนิด แล้วก็ไม่คิดจะจากไปเสียด้วย แต่เกาะติดอาศัยร่างกายของเราอยู่แบบถาวรเสียเลย ยังคงมีอีกหลายเรื่องที่คิดจะทำ แต่ก็ทำไม่ไหว </p><p style="text-align: justify;">ทุกวันนี้จึงต้องขยับร่างกายทำอะไรอีกหลายอย่างที่ถูกคนข้าง ๆ ห้ามทำ เพราะคนอื่นคงไม่เข้าใจหรอกว่า ขีดจำกัดของตัวเรามีอยู่แค่ไหน และตัวเราเองก็คงไม่ก้าวข้ามขีดจำกัดไปหรอก </p><p style="text-align: justify;">ก็คนมันยังอยากจะอยู่หายใจต่อไปอีกสักพักน่ะซี่....</p>chanin1222http://www.blogger.com/profile/00249325908672343913noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-572427674047273364.post-24710067146110150712020-12-31T09:24:00.001+07:002020-12-31T09:24:20.323+07:00คุณบุญรอด<p></p><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEigcvWEAKqG3vrzVUivQlnqLjflKFEu6JLCUD4nx0th6k-Bhx7qyYcLFPP_d_aNjOh-ABVoxfNxC5UvPUv738Bp-Dnvl8x-yH1RkiPItiWz5PUocGqXRhOY4Bw7WOMh3l8VExVkMtLVlPOL/s2048/IMG_20200122_094223.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="1536" data-original-width="2048" height="480" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEigcvWEAKqG3vrzVUivQlnqLjflKFEu6JLCUD4nx0th6k-Bhx7qyYcLFPP_d_aNjOh-ABVoxfNxC5UvPUv738Bp-Dnvl8x-yH1RkiPItiWz5PUocGqXRhOY4Bw7WOMh3l8VExVkMtLVlPOL/w640-h480/IMG_20200122_094223.jpg" width="640" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: justify;"><br /></div>เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2560 ไก่งวงเพศเมีย 2 ตัวที่เลี้ยงไว้กำลังอยู่ในระหว่างการฟัก ก็เห็นอยู่ว่าเป็นการผลัดกันกกไข่ของทั้ง 2 ตัว ซึ่งใช้ระยะเวลาประมาณ 20 วันแล้ว และลูกไก่เริ่มจะกระเทาะเปลือกออกมาบ้างนิดหน่อย แล้วในวันนั้น ไก่งวงเพศผู้ก็ขึ้นไปทะเลาะวิวาทกับเมียทั้งสองตัวอยู่บนกองไข่นั่นแหละ ด้วยขนาดที่ใหญ่โตบวกกับน้ำหนักมากกว่า 10 กิโลกรัม ทำให้เหยียบย่ำไปบนกองไข่ที่มีอยู่ 16 ฟองและตัวอ่อนยังกระเทาะเปลือกออกมาไม่หมด หลายตัวจึงตายคาเปลือกอยู่อย่างนั้น กว่าจะเข้าไปถึงก็ปรากฎว่ายับเยินไปหมด ค่อย ๆ แกะเปลือกเอาตัวอ่อนออกมาสำรวจอาการ มีอยู่เพียงตัวเดียวเท่านั้นที่ยังคงมีลมหายใจรวยริน <p></p><p>ใช้เวลายาวนานถึง 2 วันในการประคับประคองตัวอ่อนนั้นออกมาผึ่งแดดในตอนกลางวัน แล้วก็ให้ความอบอุ่นด้วยโคมไฟในตอนกลางคืน ในที่สุดลูกไก่ตัวนี้ก็สามารถลุกขึ้นมายืนได้ด้วยตัวเอง แต่ก็ยังคงต้องดูแลอย่างใกล้ชิดจนเข้าวันที่ 3 จึงเริ่มกินน้ำกินอาหารได้บ้าง ตลอดเวลาที่ผ่านมา "คุณบุญรอด" ยังคงนอนอยู่ในกล่องกระดาษที่วางไว้ในห้องนอนในตอนกลางคืน ก่อนจะปล่อยออกมาวิ่งเล่นบนบ้านได้อย่างอิสระ แต่ก็ลำบากนิดหน่อยเพราะเป็นพื้นกระเบื้องลื่น ๆ อาทิตย์ต่อมาจึงพาลงไปปล่อยให้วิ่งเล่นบนพื้นดินได้ แต่ก็ยังไม่ให้ไก่งวงตัวใหญ่เข้าใกล้ เพราะมีทีท่าว่าจะเล่นแรง แล้วก็อาจจะถูกเหยียบตายไปอีกก็ได้ </p><p>ในช่วงเวลาต่อมา คุณบุญรอดจึงเป็นไก่งวงตัวเดียว ที่ได้รับสิทธิในการขึ้นมาเดิน หรือนอนบนเลานที่ระเบียงหลังบ้านได้อย่างอิสระตลอดมา แม้แต่การมาออกไข่ ฟักไข่ ในเวลาต่อมา แต่ก็ต้องจัดให้ลงไปนอนในพื้นที่ที่จัดเตรียมไว้ให้ข้างล่างเสียแล้ว เนื่องจากมีลูกถึง 7 ตัว ซึ่งหลังจากที่ลูกโตและแยกย้ายกันไป คุณบุญรอดก็กลับขึ้นมาใช้ชีวิตอยู่บนบ้านอีกเช่นเดิม </p><p>จากไก่งวงต้นตระกูล 3 ตัว ต่อมาก็เริ่มขยายเผ่าพันธุ์ออกไเป็นจำนวนมากกว่า 100 ตัว หมดสิ้นค่าอาหารไปไม่น้อย แต่ก็ไม่สามารถขายออกไปได้ เพราะใจจริงก็ไม่ต้องการขายออกไปหรอก อยากจะเลี้ยงไว้ดูเล่นมากกว่า เพียงแต่ในช่วงต้นปี 2563 เริ่มมีฝูงสุนัขเข้ามารังควานด้วยการแอบคาบไก่งวงตัวเมียไปวันละตัวสองตัว เนื่องจากไก่ตัวเมียมีขนาดเล็กและชอบแอบไปฟักไข่ตามกอหญ้าหรือใต้พุ่มไม้รก ๆ ห่างจากตัวบ้าน จึงบางตาลงไปทุกขณะ และช่วงกลางปีก็มีฝูงสุนัขหลายตัวบุกเข้ามาไล่กัดฝูงไก่งวงจนตายไปอีก 6 ตัวสูญหายไปอีกหลายตัว และก็ยังคงมีปัญาเช่นนี้เรื่อยมา </p><p>3 ธันวาคม 2563 มีฝูงสุนัขในหมู่บ้านนับสิบตัวบุกจู่โจมเข้ามาไล่กัดไก่งวงในเล้าหลังบ้าน ซึ่งมีอยู่ประมาณ 60 ตัว ในช่วงเวลาประมาณตี 2 สุนัขในบ้าน 3 ตัวก็วิ่งไล่ตามบางตัวออกไปกัดกันอยู่นอกรั้วบ้าน ขณะที่ฝูงใหญ่วิ่งไล่กัดไก่งวงอยู่ในเขตบ้าน ปรากฎเศษขนเศษหนังกระจายเกลื่อนไปทั่ว กว่าจะเปิดประตูออกมาขับไล่ไปได้ก็ใช้เวลานับชั่วโมง เพราะมีหมาหลายตัวมากและมาจากทุกทิศทาง ขณะที่ไก่งวงส่วนมากก็ถูกไล่กัดแตกตื่น วิ่งออกไปนอกเขตบ้าน สรุปผลในช่วงเช้ามีไก่งวงเหลือรอดมาได้ 17 ตัวเท่านั้นเอง นอกนั้นถูกกัดปางตายนอนเกลื่อนทั่วพื้นที่ 3 ไร่ และมีตัวเมียหายไปนับ 10 </p><p>2 วันต่อมาฝูงหมาคงได้ใจแห่กันเข้ามาอีกครั้งตอนตี 3 เศษ คราวนี้ออกมาช่วยไว้ได้เพียง 11 ตัว ไม่ได้โกรธโทษหมาพวกนั้นหรอก เพราะมันก็ืทำไปตามสัญชาติญาณของสัตว์ และก็ไม่ได้โกรธโทษเจ้าของหมาหรอก เพราะมันหลายตัวมากจนรู้ว่ามาจากทุกบ้านในแถบนี้ และรู้จักคุ้นเคยกับหมาที่บ้านดีอีกด้วย </p><p>แต่มาเสียใจอยู่เรื่องเดียวว่า คุณบุญรอด ที่สามารถรอดพ้นมาได้จากการจู่โจมทุกครั้ง หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอยในวันที่ 5 ธันวาคม 2563 เพราะทุกวันจะต้องออกมาให้เห็นหน้า พูดจาทักทายกันเป็นประจำ ตั้งใจว่าจะฉลองวันเกิดให้ใน 20 ธันวาคมนี้ เพราะครบรอบอายุ 3 ปี</p><p>ก็เป็นเรื่องธรรมดาของโลก มีจุดเริ่มต้น ก็ต้องมีจุดที่สิ้นสุด</p><p>ไม่โทษโกรธใครจริง ๆ </p><p><br /></p><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhuVvHNCDRZfz5T-EAX4nhV62_3YcESleCi1JlJZxXFIx6dVdtUgq7gjSDVSfTVs04gvdlKR09kM4Ei228MtgatbIMiprQsSdK-MDFC0Kg1a9l_ByctwYIXmFrxiaWRNiubxyTAAGZYa3ma/s2048/IMG_20191009_161220.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="1536" data-original-width="2048" height="480" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhuVvHNCDRZfz5T-EAX4nhV62_3YcESleCi1JlJZxXFIx6dVdtUgq7gjSDVSfTVs04gvdlKR09kM4Ei228MtgatbIMiprQsSdK-MDFC0Kg1a9l_ByctwYIXmFrxiaWRNiubxyTAAGZYa3ma/w640-h480/IMG_20191009_161220.jpg" width="640" /></a></div><br /><p><br /> </p>chanin1222http://www.blogger.com/profile/00249325908672343913noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-572427674047273364.post-64245917740548687352016-05-11T13:50:00.000+07:002016-05-11T13:50:02.088+07:00สงครามชีวิต<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://4.bp.blogspot.com/-G9WLkV2zJwY/TXGp0Hy9tMI/AAAAAAAACUc/Mwv1GkAxVp0fi2KQFY8dTahJxbsIYLv8gCKgB/s1600/1_original.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="400" src="https://4.bp.blogspot.com/-G9WLkV2zJwY/TXGp0Hy9tMI/AAAAAAAACUc/Mwv1GkAxVp0fi2KQFY8dTahJxbsIYLv8gCKgB/s400/1_original.jpg" width="300" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมายบนโลกใบนี้ ในทุกวินาทีของวันเวลาที่ผ่านเลยไป แต่ก็คงไม่มีใครที่จะใส่ใจในรายละเอียดของสิ่งต่างๆ เหล่านี้เพราะมองไม่เห็นในความจำเป็นที่จะต้องไปให้ความสนใจ เนื่องจากมันไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับชีวิตความเป็นอยู่ของเราในสังคม
แต่คงไม่มีใครฉุกใจคิดเลยว่าการยึดติดอยู่กับกฎเกณฑ์ทางสังคมเป็นสาเหตุหลักที่สำคัญอันเป็นต้นกำเนิดแห่งความเสื่อมสลายของชีวิตมนุษย์ ไม่ใช่วิวัฒนาการที่นำไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง เพราะสังคมยุคใหม่บูชาวัตถุให้มีค่ามากกว่าจิตใจซึ่งเคยเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวในการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคม </div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
ในอดีตผู้คนเคยเลี้ยงสัตว์ปลูกพืชเพื่อมาทำเป็นอาหารสำหรับเลี้ยงชีวิต มีการสืบพันธุ์ขยายครอบครัวออกมามากมายแต่ก็ยังคงอาศัยอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มเพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลกันในการทำงานของบรรพบุรุษ เมื่อได้ผลผลิตออกมาก็จะทำการแลกเปลี่ยนทดแทนในสิ่งที่ขาดเหลือ ทำให้ทุกชีวิตมีความเท่าเทียมกัน มีในทุกสิ่งที่คนอื่นมี ไม่มีในสิ่งที่คนอื่นไม่มี จากนั้นก็มีบางกลุ่มที่มีความสามารถในด้านอื่น เช่น การผลิตอุปกรณ์หรือผลผลิตเกี่ยวกับเครื่องนุ่งห่ม การเย็บปักถักร้อย งานช่างศิลปกรรม งานปั้น งานจิตกรรม การดนตรี ก็วางมือจากงานเกษตรกรรมหรือเลี้ยงสัตว์ หันมาฝึกทักษะในงานที่ตนถนัด เมื่อได้ผลงานออกมาก็นำมาแลกกับอาหารที่ตนต้องการนำมาประทังชีวิต ผู้คนที่หมกมุ่นอยู่กับงานด้านเกษตรกรรมเลี้ยงสัตว์แต่เก่าก่อนก็นำสิ่งของที่ตนมีอยู่อย่างล้นเหลือนำมาแลกเปลี่ยนกับผลผลิตในด้านอื่นๆ เพื่อให้ชีวิตดำเนินไปได้ในรูปแบบเดียวกัน ผู้คนในยุคนี้จึงมองเห็นคุณค่าในการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคมด้วยการแลกเปลี่ยนหรือแบ่งปันซึ่งกันและกัน เป็นสังคมที่มีจิตใจเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวในการดำรงอยู่ของสังคม </div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
กลุ่มคนเหล่านี้ส่วนใหญ่จะเป็นประเทศในกลุ่มทวีปเอเชีย ซึ่งยังคงให้ความเคารพนับถือบรรพบุรุษของตนอย่างเหนียวแน่นมาจนถึงทุกวันนี้ คำสั่งสอนของบรรพบุรุษจะถูกบันทึกจดจำแล้วนำมาสั่งสอนอบรมสืบต่อกันมาสู่ลูกหลาน รุ่นสู่รุ่นตามลำดับ การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันด้วยความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่ข่มเหงรังแกกันเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ผู้คนในยุคก่อนๆ ปราศจากการทำลายล้างชีวิตและเผ่าพันธุ์ซึ่งกันและกัน
เพราะมีความเชื่อมั่นที่ว่าการให้ความเคารพต่อผู้อาวุโสคือหัวใจสำคัญของจิตใจมนุษย์
แต่กาลเวลาต่อมาเมื่อกลุ่มชนมีขนาดใหญ่ขึ้น เริ่มสร้างกฎเกณฑ์มากขึ้นในสังคม มีการกำหนดตัวบุคคลขึ้นมาเป็นผู้ปกครอง ซึ่งมีอำนาจตัดสินเรื่องราวต่างๆ ความต้องการมีอำนาจเหนือผู้อื่นจึงก่อกำเนิดขึ้น อันเป็นจุดเริ่มต้นแห่งหายนะในสังคม เริ่มมีความขัดแย้งเกิดขึ้นในสังคมทุกระดับและขยายตัวกว้างออกไปอย่างไร้ขอบเขต </div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
วัฒนธรรมตะวันตกของชาติที่ไม่เคยมีอารยธรรมเป็นของตนเอง เช่น สหรัฐอเมริกา เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าก่อกำเนิดขึ้นมาจากอดีตนักโทษที่ถูกเนรเทศมาจากประเทศทางแถบยุโรป กลุ่มคนเหล่านี้ถูกนำมาปล่อยทิ้งไว้ตามแถบชายทะเลรวมตัวกันขยายดินแดนออกไปทุกทิศทางเพื่อจับจองพื้นที่ในการเอาชีวิตรอด บางกลุ่มจับจองที่ดินเพื่อการเกษตรหรือเลี้ยงสัตว์โดยสงบสุข ขณะที่บางกลุ่มก็ทำมาหาเลี้ยงชีพตามสันดานเดิมของบรรพบุรุษด้วยการปล้นชิงสิ่งของผู้อื่น ซึ่งเป็นงานที่ง่ายดายและสะดวกที่สุด มีการเข่นฆ่ากวาดล้างทำลายชนชาวพื้นเมืองอย่างโหดเหี้ยมด้วยวิธีการต่างๆ จนมาถึงทุกวันนี้ก็มีการบิดเบือนข้อเท็จจริงที่ควรปรากฎด้วยการเขียนประวัติศาสตร์ขึ้นมาใหม่ทั้งหมด
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
ต่อจากนั้นมนุษย์จึงเริ่มกำหนดคุณค่าให้กับสิ่งของที่อยู่ในดินให้มีราคาขึ้นมาแตกต่างกัน ของบางอย่างก็มีประโยชน์ใช้สอย เช่น ถ่านหิน น้ำมัน แร่เหล็ก กำมะถัน แต่สิ่งของบางสิ่งไม่มีคุณค่าตามธรรมชาติ แต่กลับสร้างคุณค่าให้กับมันโดยไม่มีเหตุผล เช่น กลุ่มอัญมณีต่างๆ เงิน ทองคำ เพชร พลอย สิ่งของไร้ประโยชน์ต่อชีวิตมนุษย์เหล่านี้กลับมีค่ามากกว่าสิ่งอื่นๆ อย่างไม่น่าเชื่อและมนุษย์ยุคใหม่ก็ให้ความเคารพนับถือและมีความต้องการที่จะครอบครองมันยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดในโลก
ในโลกของความเป็นจริง บรรดาพืชพันธุ์ธัญญาหารที่นำมาเป็นอาหารเลี้ยงชีวิต ซึ่งต้องทำการพลิกฟื้นผืนดินทำการเพาะปลูกมาด้วยความยากลำบากและใช้เวลาอันยาวนาน กลับมีค่าด้อยน้อยกว่าสิ่งของไร้ประโยชน์ที่ได้มาจากผืนดินเพียงก้อนเล็กๆ เท่าเม็ดกรวดเท่านั้นเอง </div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b>ความแตกต่างนี้เกิดมาจากอะไร ?
</b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
สงครามเพื่อแย่งชิงดินแดนจึงเกิดขึ้นทั่วโลกในยุคนี้ ไม่ใช่เพื่อต้องการที่ดินสำหรับการเพาะปลูก แต่เป็นการแสวงหาการยอมรับในอำนาจที่อยู่เหนือผู้อื่นจากการครอบครอง ติดตามมาด้วยการกอบโกยทรัพยากรที่ได้มาจากแผ่นดินเหล่านี้กลับไปยังดินแดนของตน เรื่องเหล่านี้ยังคงปรากฏให้เห็นอยู่ทุกวันบนโลกใบนี้ หากท่านมองไปยังสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลก หรือในทวีปที่ท่านอาศัยอยู่ หรือในประเทศที่เป็นถิ่นกำเนิดของท่าน หรือในภูมิภาคที่ท่านอาศัยอยู่ ในจังหวัดของท่าน ในอำเภอของท่าน ในตำบลของท่าน หรือในหมู่บ้านของท่าน ในหมู่เครือญาติของท่าน หรือแม้แต่ในครอบครัวของท่านเอง </div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b>แน่นอนที่สุดที่ไม่สมควรลืมมองไปในจิตใจของท่านด้วย </b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<span style="font-size: large;">ว่าท่านมองเห็นอะไร ?
</span></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<br />chanin1222http://www.blogger.com/profile/00249325908672343913noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-572427674047273364.post-27378021575421473212016-04-24T10:45:00.003+07:002016-04-24T10:45:52.336+07:00คือสัจธรรม<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgtGvxG1ZfgkBsHAPN-Z2_Iz8ier79vJysMFRACwxug05E5PZoxU4pTw6O22j4MZflw9jfqfkrt-HdmI0NqjP97FthSv9NYOidP_XtONl8AMbXPwX9geZYGLmA-DKGuKs8kDKiWBxSgY20/s1600/show03.JPG" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="300" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgtGvxG1ZfgkBsHAPN-Z2_Iz8ier79vJysMFRACwxug05E5PZoxU4pTw6O22j4MZflw9jfqfkrt-HdmI0NqjP97FthSv9NYOidP_XtONl8AMbXPwX9geZYGLmA-DKGuKs8kDKiWBxSgY20/s400/show03.JPG" width="400" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
บนโลกใบนี้มีชีวิตเกิดขึ้นมามากมายในรูปลักษณะที่แตกต่างกันออกไป บางชีวิตเติบโตขึ้นมาเพียงชั่วครู่ก็พบกับจุดจบ บางชีวิตก็สามารถดำรงคงอยู่ได้อย่างยาวนาน หลายชีวิตเกิดมาเพื่อสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่นโดยที่ตนเองไม่รู้ตัว ขณะที่อีกหลายชีวิตเกิดมาโดยมีเจตนาที่จะสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น นั่นเป็นสัจธรรมของชีวิตที่เราจะต้องยอมรับมัน</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
เพราะ "คน" บนโลกนี้มีกำเนิดที่แตกต่างกัน มีแนวความคิดที่แตกต่างกัน ได้รับการปลูกฝังในความเชื่อที่แตกต่างกัน ได้รับการบ่มเพาะดูแลเลี้ยงดูมาจากสถานะที่แตกต่างกัน ได้รับการศึกษาเล่าเรียนและสั่งสอนอบรมมาในระดับสูงต่ำที่แตกต่างกัน </div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
ที่สำคัญที่สุดคือทุกคนมีพื้นฐานทางด้านสติปัญญาที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
หลายคนเชื่อมั่นในภูมิปัญญาของตนที่มีอยู่ว่าเป็นเลิศเหนือกว่าผู้อื่น ไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน นั่นคือการหลอกลวงครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต เพราะเป็นการหลอกลวงตัวเองให้มีความเชื่อเช่นนั้น</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
หลายคนมีความเชื่อมั่นในสติปัญญาของตนว่าเป็นผู้ที่ความเฉลียวฉลาดเป็นเลิศ สามารถค้นหาวิธีการในการแสวงหาผลประโยชน์ให้กับตนได้อย่างไม่มีข้อจำกัด ไม่ยอมตกเป็นเบี้ยล่างให้แก่ผู้หนึ่งผู้ใดทั้งสิ้น มีความมุ่งมั่นที่จะแสวงหาโอกาสในการกอบโกยทรัพย์สินมาในทุกวิถีทางไม่มีเวลาหยุดยั้ง</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
หลายคนมีความหลงไหลในอำนาจวาสนาและการที่จะได้เป็นใหญ่เหนือกว่าผู้อื่น ทั้งทางด้านชีวิตส่วนตัว ชีวิตการงาน และฐานะทางสังคม มีความต้องการที่จะก้าวเดินไปในทุกหนแห่งด้วยการยอมรับนับถือก้มหัวให้ของผู้คน และมีความต้องการที่จะอยู่เหนือผู้อื่นตลอดกาล</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
แต่ทุกๆ คนไม่ได้นึกถึงความจริงที่ว่า ชีวิตนี้สั้นนัก</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
ช่วงเวลาแห่งการฟักตัวเพื่อสร้างรากฐานอาจจะต้องใช้เวลาถึง 10-50 ปีนับตั้งแต่เกิด ซึ่งขึ้นอยู่กับฐานะทางครอบครัวที่แตกต่างกัน</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
ช่วงเวลาแห่งการดิ้นรนต่อสู้เพื่อแย่งชิงให้ได้สิ่งที่ต้องการนั้นยาวนานกว่า อาจจะต้องใช้เวลา 5 - 50 ปี ขึ้นอยู่กับความพร้อมในด้านต่างๆ เช่น ฐานะทางการเงิน ฐานะทางสังคม และสถานการณ์ที่เอื้ออำนวย</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
ช่วงเวลาแห่งการอยู่บนจุดสูงสุดที่ตนเองปราถนาย่อมแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเพราะช่วงเวลาเหล่านี้มักจะสั้นนัก อยู่ในช่วง 1 - 20 ปี เท่านั้นเอง</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
และช่วงเวลาสุดท้ายนั้นไม่ได้หมายความว่าชีวิตจะได้พบกับความสงบสุข แต่มันอาจจะเป็นช่วงเวลาที่สับสนวุ่นวายมากที่สุดของช่วงชีวิต </div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
เพราะต้องมุ่งมั่นกับการประคับประคองรักษาสถานะที่ได้มานั้นให้มั่นคงยั่งยืนไปนานเท่าที่ใจปราถนา</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b>แต่ความฝันของ "คน" ไม่เคยยั่งยืน</b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b><br /></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b>เมื่อนอนหลับฝันไป สักวันหนึ่งก็ต้องตื่นขึ้นมาจากความฝันนั้น</b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
เพื่อกลับคืนมาหาความจริง</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
ที่ว่า.....<span style="font-size: large;">กำลังจะสิ้นลมหายใจ</span></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<br />chanin1222http://www.blogger.com/profile/00249325908672343913noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-572427674047273364.post-43061068605003446032015-08-15T16:03:00.003+07:002015-08-15T16:03:42.557+07:00ความว่างเปล่า<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgRhX4hsBeIXd_X2g_h8WsPOeuEVu2kbwYMTf2P2iz4pafdM7ufCvPHCn7rrVTLht-q5dgOj4E_R4ynVc88TdAqevFpMs5UvW1EbBVY_zEba4d10BSA0sLtM9NCvL8ltGfaZ4SJPgzjbU4/s1600/PhotoFunia-5aafce7.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="265" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgRhX4hsBeIXd_X2g_h8WsPOeuEVu2kbwYMTf2P2iz4pafdM7ufCvPHCn7rrVTLht-q5dgOj4E_R4ynVc88TdAqevFpMs5UvW1EbBVY_zEba4d10BSA0sLtM9NCvL8ltGfaZ4SJPgzjbU4/s400/PhotoFunia-5aafce7.jpg" width="400" /></a></div>
<br />
ดูเหมือนมันจะกลายเป็นวงจรอีกรูปแบบหนึ่งของบทความเสียแล้วที่จะต้องวนเวียนซ้ำซากอยู่กับเรื่องเดิมๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้ตามเทศกาลการบริหารการปกครองของบ้านเมืองเรา โดยในช่วงเดือนกันยายนก็จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเกษียณอายุราชการกับการบรรจุกำลังพลเข้ามาทดแทน และพอถึงฟดูกาลรับพระราชทานปริญญาบัตรก็จะมีปัญหาที่จะต้องพูดถึงในเรื่องที่เกี่ยวกับ "คนตกงาน" แทนที่จะไปพูดถึงความสำเร็จของผู้คนที่สามารถกัดฟันส่งเสียผลักดันลูกหลานจนจบปริญญา แม้ว่าบางคนจะต้องเสียสละตัวเองด้วยการยอมอดมื้อกินสองมื้อสามมื้อเพื่อให้ลูกเป็นหน้าตาของวงศ์ตระกูล จะได้ไม่อายคนข้างบ้านที่เป็นลูกคนรวย หรือคนชั้นกลาง นั่นเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งของวิกฤติการณ์ทางการศึกษาที่สังคมให้ความสำคัญกับกระดาษแผ่นหนึ่งมากกว่าผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับสังคมโดยรวม<br />
<br />
คงต้องยอมรับกันถึงความรู้ความสามารถของผู้ที่สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรีช่วง พ.ศ.นี้ มีมาตรฐานที่ต่ำลงและต่ำลงไปทุกปี ทั้งนี้มีผลมาจากปัจจัยหลายๆ ประการประกอบกัน ซึ่งปัจจัยที่มีส่วนสำคัญที่สุดก็คือ "การกำหนดมาตราฐานหลักสูตรการศึกษา" ของแต่ละระดับ ดังที่เราทราบกันดีอยู่แล้ว บทลงโทษตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาของบ้านเรานั้น "ไม่มีผลใช้บังคับจริง" เป็นการออกบทบัญญัติไว้แค่เพียงให้เป็นมาตราฐานสากลเท่านั้นเอง ลูกใครไม่อยากเรียนก็ไม่ต้องเรียน จะเลี้ยงควายตั้งแต่เกิดจนถึง 80 ปีก็ไม่มีใครมาสนใจใยดีอย่างจริงจังซักเท่าไหร่ แม้ว่ายุคนี้จะมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมากระชับบีบประชาชนให้อยู่ในกรอบมากขึ้นก็ตาม<br />
<br />
ประชากรไทยจากสถิติเมื่อ 1 เมษายน 2558 มีประชากรรวม 65.10 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นผู้ที่มีอายุเกินกว่า 15 ปีอยู่ 55.16 ล้านคน ซึ่งแยกผู้สูงอายุออกไปอีก 10.35 ล้านคน จำนวนที่เหลือก็คือจำนวนประชากรที่อยู่ในวัยทำงาน แต่จากสถิติที่ปรากฎในเอกสารนั้น มีประชากรที่มีงานทำเพียง 37.53 ล้านคนเท่านั้น และคนว่างงาน 3.24 แสนคน จากเอกสารที่มีให้เห็นนั้นขัดแย้งกันอย่างมากในข้อที่เกี่ยวกับสถติของคนว่างงาน ว่าทำไมมันจะผิดพลาดไปได้มากมายขนาดนั้น ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วยอดประชากรที่ว่างงานนั้นเกือบถึงหลัก 10 ล้านคนทีเดียว<br />
<br />
เชื่อว่าข้อนี้สำนักงานสถิติแห่งชาติคงจะต้องจ้างที่ปรึกษาเป็นครูสอนวิชาคณิตศาสตร์ของชั้นประถมศึกษามาช่วยบวกลบคูรหารดูใหม่หลายๆ รอบซะแล้วล่ะครับ ก่อนที่จะเอาออกมาปิดประกาศโพนทะนาให้ประชานได้รับทราบข้อมูลที่นั่งเทียนเขียนเอาเองตามอารมณ์แบบนี้<br />
<br />
คิดเอาเองว่าสถติประชากรว่างงาน 3.24 แสนคนน่ะ ท่านคงจะเอามาจากยอดนักศึกษาที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีในแต่ละปีมากกว่า เพราะเคยเห็นยอดตัวเลขเท่านี้ในสถิติของนักศึกษาที่หางานทำไม่ได้ในแต่ละปีครับ<br />
<br />
<b>แต่ที่เข้าทำงานได้นั้น </b><br />
<b>ครึ่งหนึ่งเป็นระบบงานของทางราชการ </b><br />
<b>"แต่อีกครึ่งหนึ่งเป็นงานของบริษัทเอกชน ของครอบครัว หรือตั้งบริษัทขึ้นมาเอง"</b><br />
<br />
หรือไม่ก็ จนท.สำรวจและจัดทำอาจจะลืมตามไปนับยอดประชากรบางส่วนที่ไปแอบกินข้าวฟรีอยู่ในคุกของกรมราชทัณฑ์ทั้วประเทศอีกจำนวน 287,335 คนด้วย(1 ตุลาคม 2556) เพราะท่านเหล่านั้นก็ถือว่าเป็นคนว่างงานครับ ไม่ใช่ไปได้งานสานกระจาด เลี้ยงหมู ทำเครื่องเรือน ในเรือนจำก็นับรวมไปว่า <b>"มีงานทำ"</b><br />
<br />
และก็ยังมีประชากรไทยอีกกลุ่มหนึ่งที่อยู่ในกลุ่ม "คนว่างงาน" นั่นก็คือกลุ่มคนไร้บ้านหรือที่เราดรียกกันว่า "คนจรจัด" นั่นเอง กลุ่มนี้ไม่สามารถทำการสำรวจสถิติได้อย่างถูกต้องแน่นอน นอกจากวัดเอาจากที่ถูกจับกุมได้ในความผิดต่างๆ เฉพาะใน กทม.ก็มากกว่า 5 พันคนเข้าไปแล้ว และต่างจังหวัดก็มีอยู่ครบถ้วนทุกจังหวัด บางท้องที่ก็ผลักดันคนเหล่านี้ไปให้พ้นจากพื้นที่รับผิดชอบของตนด้วยวิธีการต่างๆ เพื่อมิให้เป็นภาระผูกพัน (แต่ถ้ามีงบประมาณอุดหนุนจากภาคเอกชนละก็ เสนอหน้ากันให้เกร่อไปหมด)<br />
<br />
อาจจะเข้าใกล้บาปนิดหน่อยเท่านั้น ถ้าจะเสนอให้สำรวจไปให้ถึงพระภิกษุ สามเณร แม่ชี ในพุทธศาสนา และนักบวชในศาสนาอื่นๆ อีกด้วยครับ เอาง่ายๆ ประเทศไทยมีพระภิกษุและสามเณรในพระพุทธศาสนาจำนวน 58,418 รูป (สถิติเมื่อ 31 ธันวาคม 2557) นี่ไม่ได้รวมแม่ชี และผู้ที่อาศัยวัดเป็นที่พักพิงด้วยนะครับ<br />
<br />
<b>แต่ถ้าใครจะถือว่าท่านเหล่านี้ไม่อยู่ในข่ายคนว่างงาน </b><br />
<b>แต่อยู่ในกลุ่มผู้ประกอบอาชีพที่มีรายได้สูง(จนประเมินค่าไม่ได้) </b><br />
<b><br /></b>
<span style="font-size: large;"><i>ผมก็ไม่กล้าเถียงอีกน่ะแหละ</i></span><br />
<b><br /></b>
<b><br /></b>chanin1222http://www.blogger.com/profile/00249325908672343913noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-572427674047273364.post-5299820382304577112014-10-18T08:51:00.003+07:002014-10-18T08:52:49.695+07:00เขตเศรษฐกิจพิเศษ<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjE7MLfa1dA484F1XQqPpj5mISmbPGpzpYbMNsBeerBY2SqjKUnh3svXEAO4qIJYoHb2Fbg8NYI-EIt3qbfst1lMVRbw66vH-pXWDBHMUh1e5pc_Sbsf5MVUjX-8yBHUpvOJJvoExrObSo4/s1600/spe.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjE7MLfa1dA484F1XQqPpj5mISmbPGpzpYbMNsBeerBY2SqjKUnh3svXEAO4qIJYoHb2Fbg8NYI-EIt3qbfst1lMVRbw66vH-pXWDBHMUh1e5pc_Sbsf5MVUjX-8yBHUpvOJJvoExrObSo4/s1600/spe.jpg" height="628" width="640" /></a></div>
<br />
สำหรับคนที่ติดตามข่าวคราวของการพัฒนาประเทศ คงจะได้รับรู้ข่าวสารที่กรมโยธาธิการและผังเมือง กำลังเร่งดำเนินการออกแบบผังเมืองรวมบริเวณชุมชนที่จะรองรับการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษใน 12 พื้นที่ จำนวน 10 จังหวัด สำหรับพื้นที่มีพรมแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเริ่มดำเนินการระยะแรก 5 จังหวัด ครอบคลุม 4 ภูมิภาค รวมพื้นที่ 24,450 ไร่ ได้แก่<br />
<br />
<ol>
<li>จ.ตาก (ด่านแม่สอด) ตั้งอยู่ระหว่าง ต.แม่ปะกับ ต.ท่าสายลวด อ.แม่สอด ริมแม่น้ำเมย พื้นที่ 6,000 ไร่ การพัฒนาเน้นโลจิสติกส์และอุตสาหกรรม เช่น สิ่งทอ เกษตร เฟอร์นิเจอร์ </li>
<li>จ.มุกดาหาร ตั้งอยู่ที่ ต.บางทรายใหญ่ อ.เมืองมุกดาหาร (ใกล้ด่านมุกดาหาร) พื้นที่ 2,000 ไร่ การพัฒนาจะเน้นค้าส่ง การขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ และอุตฯอิเล็กทรอนิกส์และคลังสินค้า
</li>
<li>จ.สระแก้ว (ด่านอรัญประเทศ) ตั้งอยู่ ต.บ้านไร่ อ.อรัญประเทศ ใกล้ถนนสาย 33 พื้นที่ 8,750 ไร่ การพัฒนาเน้นอุตฯแปรรูปสินค้าเกษตร การขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบพื้นที่ค้าส่งระหว่างประเทศ และการค้าปลีก เพราะเป็นพื้นที่เชื่อมโยง 3 ประเทศ คือ ไทย กัมพูชา เวียดนาม
</li>
<li>จ.ตราด (ด่านคลองใหญ่) ตั้งอยู่ ต.แสนตุ้ง อ.เขาสมิง ด้านหน้าติด ถ.สุขุมวิท ห่างชายฝั่งทะเล 20 กม. พื้นที่ 5,000 ไร่ พัฒนาเป็นเมืองท่องเที่ยงเชิงนิเวศ </li>
<li> จ.สงขลา (ด่านสะเดา) ตั้งอยู่ที่ ต.ฉลุง อ.หาดใหญ่ พื้นที่เชื่อมต่อกับ ถ.เพชรเกษม และ ถ.หอการค้ากาญจนาภิเษก เชื่อมต่อกับถนนสาย 43 พื้นที่ 2,700 ไร่ เน้นพัฒนาโลจิสติกส์และบริการต่อเนื่อง อุตสาหกรรมอาหารฮาลาล ยางพารา </li>
</ol>
<br />
ส่วนอีก 7 จังหวัดที่จะดำเนินการระยะต่อไป กรมเตรียมการจัดวางผังเช่นกัน ได้แก่<br />
<br />
<ol>
<li>จ.กาญจนบุรี ตั้งอยู่ ต.บ้านหนองสองตอนกับบ้านหนองจอก พื้นที่ 2,000 ไร่ </li>
<li>จ.เชียงราย ตั้งอยู่ ต.สถาน อ.เชียงของ อยู่ติดกับถนนเชื่อมกับสะพานมิตรภาพแห่งที่ 4 เชียงของ-ห้วยทราย พื้นที่ 500 ไร่ </li>
<li>จ.เชียงราย ตั้งอยู่ ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน บริเวณท่าเรือเชียงแสนแห่งที่ 2 ติดแม่น้ำโขงและถนนสาย1129 พื้นที่ 752 ไร่
4.</li>
<li>เชียงราย อยู่พื้นที่ อ.แม่สาย มีข้อจำกัดด้านตะวันตกของเมืองแม่สายเป็นภูเขา จึงเหลือพื้นที่ให้พัฒนาบริเวณด้านตะวันออกของเมือง พื้นที่ 500 ไร่ </li>
<li>จ.หนองคาย ตั้งอยู่พื้นที่บริเวณ อ.เมือง กับ อ.สระใคร ทางตอนใต้ของเมืองหนองคาย พื้นที่ 3,300 ไร่ </li>
<li>จ.นครพนม ตั้งอยู่บริเวณบ้านสำราญเหนือ ต.อาจสามารถ กับตอนบนอ.เมืองนครพนม ใกล้ด่านชายแดนนครพนม ติดถนนสาย 212 พื้นที่ 2,200 ไร่ และ </li>
<li>จ.นราธิวาส ตั้งอยู่ที่ ต.นานาค อ.ตากใบ อยู่บนถนนสาย 4057 ห่าง อ.ตากใบ 15 กิโลเมตร พื้นที่ 2,500 ไร่ </li>
</ol>
<br />
ทั้งนี้เป็นไปตามนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)<br />
<br />
ซึ่งคาดว่าคงจะใช้อำนาจตาม ร<span style="background-color: white; color: #252525; font-family: Tahoma, 'MS Sans Serif'; line-height: 20px;">ะเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษพ.ศ. ๒๕๕๖ มาเป็นต้นแบบในการดำเนินการ จึงอยากจะคัดลอกบางส่วนนำมาลงไว้ให้พิจารณาไปก่อนจาก คำจำกัดความในข้อ 3 ของระเบียบนี้</span><br />
<span style="background-color: white; color: #252525; font-family: Tahoma, 'MS Sans Serif'; line-height: 20px;"><br /></span>
<b>“เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ” </b>หมายความว่า บริเวณพื้นที่ที่คณะกรรมการนโยบายประกาศกำหนดให้เป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษซึ่งรัฐจะสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการพัฒนาระบบการให้บริการแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จที่สอดคล้องกับระบบ ASEAN Single Window และการดำเนินการอื่นที่จำเป็นเพื่อรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ<br />
<b>“การให้บริการแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จ” </b>หมายความว่า การที่ราชการส่วนกลางและราชการส่วนภูมิภาคมอบอำนาจในการสั่ง อนุญาต อนุมัติ ปฏิบัติราชการหรือดำเนินการอื่นใดตามกฎหมายกฎ ระเบียบ ประกาศ หรือคำสั่งใด หรือมติของคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวกับการค้าเสรีภายใต้กรอบอาเซียนหรือข้อตกลงภายใต้กรอบเศรษฐกิจอื่น หรือการค้าบริเวณพรมแดนระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้านให้แก่เจ้าหน้าที่ในส่วนภูมิภาคหรือราชการส่วนท้องถิ่นเพื่อให้สามารถสั่ง อนุญาตอนุมัติ ปฏิบัติราชการ หรือดำเนินการนั้นรวมอยู่ ณ จุดเดียวในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษแต่ละแห่ง<br />
<b>“การค้าบริเวณพรมแดน” </b>ให้หมายความรวมถึงการลงทุน การให้บริการ และการเข้ามาทำงานในราชอาณาจักรของแรงงานต่างด้าวบริเวณพรมแดนและพื้นที่ต่อเนื่องกับพื้นที่ดังกล่าว<br />
<b> “ประเทศเพื่อนบ้าน” </b>หมายความว่า ประเทศที่มีพรมแดนติดกับราชอาณาจักรไทย<br />
<b> “แผนแม่บท”</b> หมายความว่า แผนแม่บทการจัดตั้งและดำเนินการเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษแต่ละแห่ง
<br />
<b>“แผนงานหรือโครงการ” </b>หมายความว่า แผนงานหรือโครงการที่จำเป็นต่อการพัฒนาและจัดทำโครงสร้างพื้นฐานและระบบการให้บริการแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จที่หน่วยงานจัดทำขึ้นเพื่อจัดตั้งและดำเนินการเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษแต่ละแห่งขึ้นตามแผนแม่บท<br />
<b> “แผนปฏิบัติการ” </b>หมายความว่า แผนปฏิบัติการเพื่อจัดตั้งและดำเนินการเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษแต่ละแห่ง<br />
<b> “การพัฒนาพื้นที่” </b>หมายความว่า การปรับปรุงและใช้ประโยชน์ในอสังหาริมทรัพย์ทั้งของภาครัฐและเอกชน รวมทั้งการจัดให้มีการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ภายในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตามหลักเกณฑ์และวิธีการสนับสนุนการจัดตั้งและดำเนินการเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษที่คณะกรรมการนโยบายกำหนดโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี<br />
<b> “หน่วยงาน” </b>หมายความว่า ราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่นรัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐ<br />
<b> “คณะกรรมการนโยบาย” </b>หมายความว่า คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ<br />
<b> “สำนักงาน” </b>หมายความว่า สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ
<span style="background-color: white; color: #252525; font-family: Tahoma, 'MS Sans Serif'; line-height: 20px;"><br /></span>
<span style="background-color: white; color: #252525; font-family: Tahoma, 'MS Sans Serif'; line-height: 20px;"><br /></span><span style="background-color: white; color: #252525; font-family: Tahoma, 'MS Sans Serif'; line-height: 20px;">จำได้ว่าผมเคยพูดถึงเรื่องของเขตเศรษฐกิจพิเศษนี้มามากกว่า 1 ครั้งแล้วและเคยชี้แจงถึงข้อดีข้อเสียของโครงการนี้มาแล้วว่า "ก่อให้เกิดประโยชน์กับนักธุรกิจ" เท่านั้น ซึ่งอาจจะมีข้าราชการบางส่วนได้รับผลประโยชน์ไปด้วยเป็นบางคน นั่นเป็นเรื่องธรรมดา ประชาชนบางส่วนในพื้นที่อาจจะได้รับผลประโยชน์บ้างเป็นบางส่วนด้านอาชีพก็เป็นเรื่องที่ต้องเป็นไปตามสภาพอยู่แล้ว</span><br />
<span style="background-color: white; color: #252525; font-family: Tahoma, 'MS Sans Serif'; line-height: 20px;"><br /></span>
<span style="background-color: white; color: blue; font-family: Tahoma, 'MS Sans Serif'; line-height: 20px;"><b>แต่ผลประโยชน์ทั้งหลายมิได้ตกแก่ประชาชนผู้เป็นเจ้าของแผ่นดินโดยรวม</b></span><br />
<span style="background-color: white; color: blue; font-family: Tahoma, 'MS Sans Serif'; line-height: 20px;"><b><br /></b></span>
<span style="background-color: white; color: blue; font-family: Tahoma, 'MS Sans Serif'; line-height: 20px;"><b>และในบางสถานการณ์มันหมายถึงอำนาจอธิปไตยของชาติกำลังถูกคุกคาม</b></span><br />
<b style="color: blue; font-family: Tahoma, 'MS Sans Serif'; line-height: 20px;">มันเป็นเรื่องของการมีสิทธิสภาพนอกอาณาเขตเหมือนกับที่เกิดขึ้นในประเทศอาณานิคม</b><br />
<span style="background-color: white; color: blue; font-family: Tahoma, 'MS Sans Serif'; line-height: 20px;"><b><br /></b></span>
<span style="background-color: white; color: blue; font-family: Tahoma, 'MS Sans Serif'; line-height: 20px;"><b>มันเป็นการร่วมมือกันกอบโกยผลประโยชน์ของเหล่านายทุนระดับชาติโดยตรง</b></span><br />
<span style="background-color: white; color: blue; font-family: Tahoma, 'MS Sans Serif'; line-height: 20px;"><b><br /></b></span>
<span style="background-color: white; color: blue; font-family: Tahoma, 'MS Sans Serif'; line-height: 20px;"><b>ถึงเวลาแล้วที่เราควรจะย้อนกลับไปศึกษาข้อกฎหมายในเรื่องนี้อย่างจริงจังเสียที และพิจารณาดูด้วยความเที่ยงธรรมว่า ประชาชนทั่วไปได้รับประโยชน์อะไรจากเรื่องเหล่านี้ </b></span><br />
<span style="background-color: white; color: blue; font-family: Tahoma, 'MS Sans Serif'; line-height: 20px;"><b><br /></b></span>
<span style="background-color: white; color: blue; font-family: Tahoma, 'MS Sans Serif'; line-height: 20px;"><b>นอกจาก สินค้าฟุ่มเฟือยมากมายที่มาอยู่ใกล้มือ</b></span><br />
<span style="background-color: white; color: #252525; font-family: Tahoma, 'MS Sans Serif'; line-height: 20px;"><b><br /></b></span>
<span style="background-color: white; color: red; font-family: Tahoma, 'MS Sans Serif'; font-size: x-large; line-height: 20px;"><b>กรุณาจับตาดูไว้ให้ดี</b></span>chanin1222http://www.blogger.com/profile/00249325908672343913noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-572427674047273364.post-31647153299092326982014-06-25T15:31:00.000+07:002014-06-25T15:31:04.179+07:00ชาติกับประชาคมโลก<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh3nkOKIk2ymDYX-AnsJtnYJ__EJ3-_tDIGEdkceUE_xMV0tI7Wrwok8MT_gcLe6q_cKcfoe79F8L6IuKXd7MWCgXpbX5MaA2bqTO_zJXbh5AauBpmgvBMDMJc8_CmCQSc6hov_jGpsTQBf/s1600/10336764_10203078226850747_4958712716858592640_n.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh3nkOKIk2ymDYX-AnsJtnYJ__EJ3-_tDIGEdkceUE_xMV0tI7Wrwok8MT_gcLe6q_cKcfoe79F8L6IuKXd7MWCgXpbX5MaA2bqTO_zJXbh5AauBpmgvBMDMJc8_CmCQSc6hov_jGpsTQBf/s1600/10336764_10203078226850747_4958712716858592640_n.jpg" height="245" width="400" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
หลังจากความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ของประเทศไทย มีผลกระทบติดตามมามากมายซึ่งก็เป็นปกติของการเปลี่ยนแปลงในทุกเรื่องราว และครั้งนี้ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ก่อให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงโดยตรงต่อ<b>กลุ่มนักธุรกิจการเมือง</b>และ<b>กลุ่มที่ต้องการล้มล้างระบอบการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมจิตใจของผู้คนทั้งชาติ</b> เนื่องจากประชาชนทั่วไปไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ทั้งสิ้น มีแต่จะได้รับสิ่งที่ดีขึ้น <b>อย่างน้อยก็ในด้านจิตใจ</b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
หลายสิบปีที่ผ่านมาประเทศเราถูกนายทุนทางการเมืองครอบงำทุกสิ่งทุกอย่างโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ </div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
</div>
<ul>
<li>การแสวงหาผลประโยชน์จากการบุกรุกทำลายทรัพยากรของประเทศอย่างต่อเนื่องและลุกลามอย่างกว้างขวาง </li>
<li>การเข้ายึดครองสัมปทานในโครงการที่สร้างรายได้มหาศาล </li>
<li>การเปลี่ยนผลประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติให้กลายไปเป็นผลประโยชน์ของครอบครัว </li>
<li>การปรับเปลี่ยนบริการสาธารณะซึ่งเป็นสวัสดิการของรัฐให้กลายไปเป็นธุรกิจเพื่อแสวงหาผลกำไรในภาคเอกชน </li>
<li>การใช้งบประมาณแผ่นดินให้เป็นเงินงบประมาณในการหาเสียงด้วยโครงการประชานิยม </li>
<li>การแบ่งแยกชนชั้นของคนในชาติให้ถีบตัวห่างออกจากกันมากขึ้นจนเห็นได้ชัด</li>
<li>การเข้าแทรกแซงและควบคุมองค์กรอิสระให้กลายเป็นเครื่องมือทางการเมือง</li>
<li>การบั่นทอนทำลายและแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมจนประชาชนขาดความไว้วางใจ</li>
<li>การใช้ระบบอุปถัมภ์กับวิถีชีวิตของคนไทยแบบไร้ขีดจำกัด</li>
</ul>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b><span style="color: blue;">ภาวะที่ประเทศถูกปกครองด้วยกลุ่มบุคคลเพียงคณะเดียวย่อมเป็นภาวะที่ไม่น่าไว้วางใจ หากกลุ่มบุคคลนั้นปราศจากความเที่ยงธรรม มีความตั้งใจจริงในการมุ่งมั่นเพื่อที่จะแก้ไขปัญหาของบ้านเมืองให้ลุล่วงไปด้วยดี สามารถกำจัดระบอบที่เป็นช่องโหว่ให้กับผู้ที่ไม่มีความปราถนาดีต่อบ้านเมืองให้พ้นไปจากระบบการบริหารการปกครองบ้านเมือง เพราะบุคคลเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มุ่งหวังผลประโยชน์ส่วนตนทั้งสิ้น แม้แต่อดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศหลายๆ คนก็ตาม</span></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
การเข้ามาข่มขู่คุกคามของนานาประเทศต่อการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ควรจะไปให้ความสำคัญมากนัก เพราะในช่วงที่ประเทศเราถูกนักการเมืองกอบโกยโกงกินอย่างบ้าคลั่ง หลายประเทศก็ได้เข้าร่วมในการกอบโกยผลประโยชน์จากประเทศของเราไปด้วยเช่นกัน </div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b><span style="color: red;">แล้วทำไม? ในหลายสิบปีที่ผ่านมา ประเทศเหล่านี้จึงไม่ออกมาส่งเสียงเห่าหอน เรียกร้องหาความยุติธรรมให้กับประชาชนบ้างเล่า?</span></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<b>ประเทศไทยยังคงมีเอกราชอยู่</b><br />
<b>เราไม่ได้เป็นเมืองขึ้นหรืออาณานิคมของประเทศใดทั้งสิ้น</b><br />
<b>เรายังคงไว้ซึ่ง ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์</b><br />
<br />
ผมเองก็ไม่ทราบว่าเรื่องราวเหล่านี้ยังคงมีสอนอยู่ในโรงเรียนอยู่หรือไม่?<br />
เพราะเท่าที่เห็นด้วยสายตา ประชาชนในวันนี้มุ่งแต่การแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน ทุ่มเทให้กับการใช้จ่ายเพื่อตามหลังวิวัฒนาการโดยไม่คำนึงถึงรายรับ<br />
<br />
เวียนวนอยู่กับคำสอนของอดีตผู้นำประเทศผู้ไร้แผ่นดิน<br />
<b>ที่ให้ชีวิตดำรงไว้ใน ...<span style="color: red; font-size: x-large;"> </span></b><span style="color: red; font-size: x-large;"><b>ตัณหา</b></span><br />
<br />
<b><span style="color: blue;">วันนี้ ... การศึกษา เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดที่ผู้บริหารประเทศไม่ควรที่จะมองข้าม</span></b><br />
<b><span style="color: blue;">และน่าที่จะหันกลับมาทบทวนหลักสูตรการศึกษาทุกระดับชั้นของประเทศเสียใหม่</span></b><br />
<b><span style="color: blue;">ให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมและการเมืองไทย</span></b><br />
<b><span style="color: blue;">ไม่ใช่ยังคงยึดติดกับหลักสูตรที่ลอกเลียนมาจากต่างประเทศ</span></b><br />
<b><span style="color: blue;">ที่บางประเทศก็ไม่มีทั้งอารยธรรมและวัฒนธรรมของตนเอง</span></b><br />
เช่น <b><span style="color: red; font-size: x-large;">สหรัฐอเมริกา</span></b>chanin1222http://www.blogger.com/profile/00249325908672343913noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-572427674047273364.post-68265153641006608552014-04-25T20:43:00.000+07:002014-04-25T20:43:03.464+07:00สามัญสำนึก<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhGAJ3fwfBNs01naRTBZ9Xd2961kmFCDHCg1UsjLVwzdoJSWmdFwHHCaU_92fpErPjXIWkHjNhf8b47JK_fokUDcPEL0u4k8FRQaLJnNb6tblQaZqP_3dbuv7QBUEIfyS5mfnCsB3G0I_kl/s1600/afac.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhGAJ3fwfBNs01naRTBZ9Xd2961kmFCDHCg1UsjLVwzdoJSWmdFwHHCaU_92fpErPjXIWkHjNhf8b47JK_fokUDcPEL0u4k8FRQaLJnNb6tblQaZqP_3dbuv7QBUEIfyS5mfnCsB3G0I_kl/s1600/afac.jpg" height="400" width="326" /></a></div>
<br />
บานาน่าสปริทภาพนี้เก็บเอามาจากเฟซบุ๊ค ขอโทษทีที่จำไม่ได้ว่าเอามาจากใคร แต่เห็นว่าน่ากินดีก็เลยเอามาลงไว้เฉยๆ ขอยืนยันว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับบทความที่เขียนแต่อย่างใด หรือถ้าใครคิดว่ามันเกี่ยวข้องบ้างก็แล้วแต่ความคิดของท่านก็แล้วกัน<br />
<br />
ข่าวคราวของบ้านเมืองในวันนี้ยังคงวนเวียนอยู่กับเรื่องราวของ รัฐบาลรักษาการ ศาลรัฐธรรมนูญ ป.ป.ช. กำนันสุเทพและมวลมหาประชาชน คนเสื้อแดง ศอ.รส. จนท.ตร. กกต. ประชาธิปไตย ขณะที่สถานการณ์โลกก็ยังคงหมุนเวียนไปกับเรื่องราวอีกหลากหลายทั้งความสุข ความทุกข์ ความยุติธรรม ความหลอกลวง เฉกเช่นเดียวกัน<br />
<br />
แต่สถานการณ์เรือล่มที่เกาหลีใต้ ซึ่งมีเด็กนักเรียนจำนวนมากเสียชีวิตท่ามกลางความสูญเสียเหล่านี้ กลับมีเรื่องที่โดดเด่นขึ้นมาอยู่เหนือความสูญเสียเท่าที่มีอยู่ กรณี รอง ผอ.โรงเรียนนี้ซึ่งเป็นหนึงในจำนวนผู้รอดชีวิตจากอุบัติเหตุครั้งนี้กลับผูกคอตายภายในโรงเรียน <b><span style="color: red;">เพื่อแสดงความรับผิดชอบ</span></b> ที่เด็กนักเรียนในความดูแลต้องเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมากในฐานะที่ตนเองเป็นผู้นำไป<br />
<br />
<b><span style="color: blue;">และในกรณีเดียวกันกัปตันพร้อมกับลูกเรือจำนวนหนึ่งกลับอพยพออกจากเรือเป็นลำดับแรกก่อนผู้โดยสาร โดยไม่มีความสำนึกถึงความจริงที่ว่าอุบัติเหตุครั้งนี้เป็นความรับผิดชอบของตน</span></b><br />
<br />
<b><span style="color: red;">ในขณะที่ลูกเรือจำนวนหนึ่งกลับแสดงความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตน ด้วยการช่วยเหลือผู้โดยสารที่ตกค้างอยู่จนสุดความสามารถ โดยยินยอมสละชีวิตตนเองจมลงไปพร้อมกับเรือ</span></b><br />
<br />
<span style="color: red; font-size: large;"><b>นี่คือความแตกต่างของสามัญสำนึก</b></span><br />
<br />
รัฐบาลก็เปรียบดังนาวา นั่นเป็นคำกล่าวโบราณนานมา แต่รัฐบาลที่กำลังจมลงกลับไม่มีผู้ใดแสดงความรับผิดชอบต่อหายนะที่กำลังเกิดขึ้น แต่กลับมีความพร้อมที่จะให้ประชาชนที่มีความคิดต่างยกพวกเข้ามาห้ำหั่นประหัตประหารกันจนเลือดนองแผ่นดิน แต่ไม่มีสามัญสำนึกที่จะพิจารณาถึงเหตุและผล ว่าความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในแผ่นดินนี้มีสาเหตุมาจากเรื่องใด?<br />
<br />
ถ้าหากรัฐบาลรวมถึงพรรคร่วมรัฐบาล(ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นพรรคการเมืองที่เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตนแบบถาวรมายาวนานจนติดเป็นสันดาน) ยังคงคิดว่าพวกตนเป็นฝ่ายถูกในทุกเรื่องและดันทุรังอ้างคำว่าเพื่อรักษาประชาธิปไตย(ในแบบของตน) และก็กล่าวหาฝ่ายตรงข้ามว่าเป็นผู้ที่คิดล้มล้างระบอบประชาธิปไตย เนื่องจากพวกตนมาจากการเลือกตั้ง มาสู่สภาด้วยคะแนนเสียงส่วนมากของประชาชน (ส่วนจะเป็นด้วยวิธีการใดนั่นไม่ใช่เรื่องที่จะต้องพูดถึง)<br />
<br />
อย่างน้อยก็ควรจะมีสำนึกได้บ้างว่าคะแนนเสียงส่วนมากที่ได้มานั้น เกือบทั้งหมดมาจากโครงการประชานิยมที่เอาใจคนยากจน โดยไม่สนใจใยดีต่อความพินาศของระบบการเงินการคลังในระดับชาติ ดดยไม่ใส่ใจต่อความปั่นป่วนวุ่นวายในระบบเศรษฐกิจของประเทศชาติ จุดมุ่งหมายหลักคือต้องการเพียงคะแนนเสียงไว้ก่อนเท่านั้น<br />
<br />
<b><span style="color: red;">และในการต่อสู้ครั้งสุดท้ายนี้ ชีวิตของประชาชนผู้บริสุทธิ์คือเหยื่อของนายทุนผู้ชั่วร้าย โดยไม่สนใจใยดีว่าจะเป็นฝ่ายใด แม้แต่บรรดาขี้ข้าที่ไร้ประโยชน์ของตนเอง สิ่งที่ต้องการคือให้เลือดนองแผ่นดินเพื่อสังเวยตัณหาของตนและครอบครัวเท่านั้น</span></b><br />
<b><span style="color: red;"><br /></span></b>
<b><span style="color: red; font-size: large;">ฝากภาพข้างต้นไว้ให้ดูเต็มๆ ตาครับท่าน</span></b><br />
<b><span style="color: red;"><br /></span></b>chanin1222http://www.blogger.com/profile/00249325908672343913noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-572427674047273364.post-58053239426729296452014-02-24T23:18:00.003+07:002014-02-24T23:18:42.060+07:00หดหู่ใจ<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjcwAn5f6yHOoXgWKnI2E__Q8a29u7nt7a9FBH8JN15sAe2yHo7hxxkZGQFF1YR-HzWjPNbhH9IGsUcIPCqdH7SOEreupe7JQASTE64G1fLWCHa7J_YY1MfJiSGNyzbOFVZ6KjdaV3ko652/s1600/1956867_554453761319642_358376612_o.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjcwAn5f6yHOoXgWKnI2E__Q8a29u7nt7a9FBH8JN15sAe2yHo7hxxkZGQFF1YR-HzWjPNbhH9IGsUcIPCqdH7SOEreupe7JQASTE64G1fLWCHa7J_YY1MfJiSGNyzbOFVZ6KjdaV3ko652/s1600/1956867_554453761319642_358376612_o.jpg" height="297" width="400" /></a></div>
<br />
ภาพข้างบนเก็บมาจากสื่อออนไลน์เมื่อ 23 ก.พ.57 โดยมีชื่องานว่า <b>นปช.ลั่นกลองรบ </b>สำหรับรายละเอียดคงจะต้องไปติดตามหาอ่านเอาเองนะครับเพราะผมคงจะพูดถึงในภาพมุมกว้างว่างานนี้เป็นการรวมพลคนเสื้อแดงจากทั่วประเทศซึ่งจัดขึ้นที่นครราชสีมา โดยมีตัวแทนมาจากหลายจังหวัดแต่รวมทั้งหมดแล้วไม่ถึง 3 พันคน จุดมุ่งหมายก็เพื่อชักชวนให้คนเสื้อแดงเปิดสงครามขั้นแตกหักกับกลุ่ม กปปส.ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ<br />
<br />
จุดเด่นของงานอีกเรื่องก็คือ ตัวแทน นปช.จากชลบุรีที่ชื่อดาบแดงออกมาประกาศว่า กปปส.ตราด ซึ่งจัดเวทีปราศรัยที่กลางตลาดยิ่งเจริญ อำเภอ เขาสมิง จ.ตราด ถูกถล่มด้วยระเบิดและปืนจนทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ซึ่งบรรดา นปช.ก็พากันโห่ร้องด้ววยความยินดีปรีดา ทั้งๆ ที่ ผู้เสียชีวิตนั้นเป็นเพียงเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่นั่งล้างจานอยู่หลังร้านก๊วยเตี๋ยวภายในตลาด ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการชุมนุมแต่อย่างใด เรื่องนี้<b><span style="color: red;">แสดงให้เห็นถึงจิตใจที่ห่างไกลจากความเป็นมนุษย์ของผู้คนเหล่านี้อย่างชัดเจน </span></b>ในขณะที่บรรดาแกนนำของอีกหลายคนที่อ้างตนว่าเป็นตัวแทนของแต่ละจังหวัดต่างก็ออกมาประกาศศักดาท้าทายอำนาจรัฐ และท้าทายกฎหมายอย่างคึกคะนอง<br />
<br />
<b>แต่ที่น่าเศร้าใจจนสุดจะบรรยายก็คือ การปราศรัยของ นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะ รักษาการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของคณะรัฐบาลรักษาการ ที่ออกมาสนับสนุนมวลชนให้ลุกขึ้นก่อการทั้งๆ ที่ตนเองมีตำแหน่งหน้าที่ที่ต้องดูแลเรื่องความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง แต่กลับทำตัวเป็นแกนนำของคนเสื้อแดงเช่นเดียวกับ ส.ส.และรัฐมนตรีอีกหลายคนของพรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นพรรครัฐบาลรักษาการ ก็มาปรากฎตัวบนเวทีกันอย่างไม่ปกปิด</b><br />
<br />
เห็นแล้วหดหู่หัวใจกับนักการเมืองเลวๆ เหล่านี้จนสุดจะบรรยาย พวกมันสมควรที่จะเขียนใบลาออกจากการรักษาการ ก่อนที่จะถูกคำตัดสินของ ปปช.บั่นหัวด้วยการถอดถอนแล้วก็สวมเสื้อสีแดงเดินนำหน้าชาวเสื้อแดงจริงๆ ไม่ใช่ทำตัวเป็นอีแอบเหมือนกับ นายจตุพร นายอริสมันต์ และนายณัฐวุฒิ เคยทำมาก่อน โดยปล่อยให้คนเสื้อแดงเดินเข้าไปหาความตาย แต่พวกตนหลบหัวซุกหัวซุนเข้าไปอยู่ด้านหลัง พอเรื่องสงบแล้วจึงออกมาปรากฎตัวแบบคนรวยอย่างกระทันหัน<br />
<br />
<span style="color: red; font-size: large;"><b>คนส่วนมากกำลังต่อสู้เพื่อรักษาแผ่นดินไว้ให้ลูกหลาน</b></span><br />
<span style="color: red; font-size: large;"><b><br /></b></span>
<b><span style="color: blue;">ในขณะที่อีกหลายคนหลับหูหลับตาสู้อย่างไร้เหตุผล</span></b><br />
<b><span style="color: blue;"><br /></span></b>
<b><span style="color: red; font-size: large;">เพื่อสนองตัณหาของสัตว์นรกเพียงตนเดียว</span></b><br />
<br />chanin1222http://www.blogger.com/profile/00249325908672343913noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-572427674047273364.post-15636145023866425042014-02-15T15:03:00.001+07:002014-02-15T15:03:09.031+07:00ล้างกระดาน<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi067YR-ysMkT9IuNjMcqu-rZZhTxaqoomgBdYpzfRqPLdG0M49KZoXbC2huKXFCASW1jlQa8-V38ZMZVswqmYr22z3EGiVUbuErLWlcyPKXdvHRLZjuX4ua0GWgQ4vzUYPKeeG6N0DD32r/s1600/2(632).jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi067YR-ysMkT9IuNjMcqu-rZZhTxaqoomgBdYpzfRqPLdG0M49KZoXbC2huKXFCASW1jlQa8-V38ZMZVswqmYr22z3EGiVUbuErLWlcyPKXdvHRLZjuX4ua0GWgQ4vzUYPKeeG6N0DD32r/s1600/2(632).jpg" height="400" width="360" /></a></div>
<br />
ภาพนี้คัดลอกมาจากหนังสือพิมพ์ครับ ก็ไม่มีอะไรมากก็แค่อุบัติเหตุกองข้าวสารหรือข้าวเปลือกก็ไม่รู้มันถล่มลงมาพังกำแพงโกดังราบไปแถบหนึ่ง แค่นั้นเองรายละเอียดไปหาอ่านเอาได้นะครับมีอยู่ทั่วไป<br />
<br />
กระสการปฏิรูปประเทศกำลังมาแรง แน่นอนล่ะว่าก่อนที่จะมาถึงวันนี้ ประเทศชาติเราผ่านวิกฤติการณ์มานานับประการ และเหตุการณ์เหล่านั้นไม่ได้เกิดขึ้นมาเองตามธรรมบชาติเสียทุกเรื่องไป หรือแม้แต่เรื่องที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่นน้ำท่วม <i><span style="color: red;">มันก็ไม่ใช่วิกฤติที่แท้จริง</span></i> มันเป็นเพียงต้นเหตุแห่งวิกฤติเท่านั้น เพราะ<i><span style="color: red;">การกระทำของผู้คนบางส่วนในระหว่างนั้น คือสาเหตุที่แท้จริง</span></i>ของสถานการณ์ความวุ่นวายของบ้านเมือง สารพัดเรื่องที่ทุกท่านสามารถติดตามได้จากข่าวสารบ้านเมืองที่มีนำเสนออย่างต่อเนื่อง จริงบ้าง เท็จบ้าง ตามประสาสื่อสารมวลชนบ้านเราที่รับประทานอาหารซึ่งผ่านการเลือกสรรแล้วว่า "มีประโยชน์" เมื่อคนทำข่าวต้องกินข้าว ต้องใช้เงิน ข่าวสารที่มีอยู่จึงมีความบิดเบือนไปตามกระแสของสังคมที่อุดมไปด้วยนายทุน<br />
<br />
ทำให้ต้องย้อนไปเมื่อ สองสามปีที่ผ่านมาเมื่อมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สิ่งที่รบกวนจิตใจมาอย่างรุนแรงก็ได้แก่ การให้มี "ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ" จำนวน 125 ท่าน<br />
<br />
หากมองไปถึงวัตถุประสงค์หรือเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฯ ฉบับนี้ก็คาดเดาได้ว่า คงจะเป็นการเปิดช่องโอกาสให้ พรรคการเมืองที่มีโอกาสจัดตั้งรัฐบาลได้นำเสนอบรรดาผู้มีความรู้ความสามารถในด้านการเมือง การบริหาร การปกครอง การเศรษฐกิจและสังคมและผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ สามารถเข้ามามีส่วนร่วมในคณะรัฐมนตรีได้อย่างเต็มที่ และนำพาประเทศชาติไปสู่การพํฒนาที่ยั่งยืน<br />
<br />
แต่ความคิดของพรรคการเมืองบ้านเราบางพรรคไม่ได้คิดอย่างนี้ กลับเห็นว่า <b><span style="color: red;">นี่คือช่องทางที่จะนำพาคนที่สังคมรังเกียจเข้ามาสู่ระบบรัฐสภา</span></b> อย่างหน้าด้านๆ <i><span style="color: red;">เพราะบรรดาผู้คนเหล่านี้หากลงเลือกตั้งในระบบแบ่งเขต ไม่มีโอกาสที่จะได้รับเลือกตั้งอย่างแน่นอน</span></i> เนื่องจากบุคคลเหล่านี้ ไม่มีคุณสมบัติที่ดีพอสำหรับการเข้ามาเป็น ส.ส. แต่มีรายชื่ออยู่ในสารบบของทากหรือปลิงในทางการเมืองเท่านั้น<br />
<br />
แต่ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ กลับเป็นประตูที่เปิดกว้างให้กับผู้ที่หัวหน้าพรรค หรือเจ้าของพรรค ใช้แทนคำกล่าวขอบคุณในการถากถางเส้นทางให้ก้าวขึ้นสู่อำนาจ ไม่ว่าจะเป็นด้วยวิธีการใดๆ ก็ตาม แม้แต่การสั่งให้ผู้อื่นเผาบ้านเผาเมือง หรือก่อการจลาจลขึ้นในบ้านเมือง<br />
<br />
ในขณะที่พรรคการเมืองนั้นก็มุ่งเน้นไปที่โครงการประชานิยมแบบสุดโต่ง โดยไม่คำนึงถึงวินัยทางการเงินการคลังของประเทศ ใช้จ่ายเงินงบประมาณแผ่นดินจากภาษีอากรของประชาชนทุ่มเทลงไปให้กับโครงการที่มีผลตอบแทนกลับมาเพียงอย่างเดียวคือ เสียงตอบรับจากกลุ่มคนที่ได้รับประโยชน์โดยไร้เหตุผล ด้วยการผลาญเงินงบประมาณแผ่นดินไปปีละกว่า 2 แสนล้าน<br />
<br />
<b><span style="color: blue;">ไม่นับเงินที่สูญหายไปในการดำเนินการตามโครงการต่างๆ ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ จนถึงปลายน้ำ ที่เสียหายวอดวายไปมากมายจนไม่สามารถติดตามตรวจสอบได้ เพราะมีการทำลายหลักฐาน ตัดตอนการตรวจสอบ เบี่ยงเบนกระแสความสนใจของผู้คน</span></b><br />
<br />
และไม่รับฟังความคิดเห็นของผู้ใดทั้งสิ้น ไม่ว่าจะมาจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง นักวิชาการ องค์กรอิสระ หรือประชาชนโดยทั่วไป ยังคงเดินหน้าโครงการมอมเมาแจกเงินประชาชนต่อไปอย่างต่อเนื่อง แม้สถานการณ์จะก้าวเข้าไปสู่วิกฤติแล้วก็ตาม<br />
<br />
<b><span style="color: red;">เป็นที่รู้กันอยู่ทั่วไปว่านี่คือ นโยบายของใคร ?</span></b><br />
<b><span style="color: red;">เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า รัฐบาลนี้เป็นเีพียงหุ่นเชิดของใคร ?</span></b><br />
<b><span style="color: red;">เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วถึงระดับสติปัญญาของคนในคณะรัฐบาล</span></b><br />
<b><span style="color: red;">ทำไมถึงคิดว่าคนไทยโง่ไปหมดทุกคน ??</span></b><br />
<br />
<b><span style="color: blue;">ถึงเวลาแล้วที่หมากรุกกระดานนี้จะต้องถูกล้มลง</span></b><br />
<b><span style="color: blue;"><br /></span></b>
<span style="color: red; font-size: x-large;">ล้างกระดาน</span><br />
<span style="color: red; font-size: x-large;"><br /></span>
<span style="color: blue; font-size: large;"><b>แล้วเริ่มตั้งต้นใหม่อย่างโปร่งใส</b></span>chanin1222http://www.blogger.com/profile/00249325908672343913noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-572427674047273364.post-76601543582286428112014-01-27T11:37:00.000+07:002014-01-27T11:37:09.608+07:00ความสงบร่มเย็น<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgZXtmiSugFbb54IJUb9ErFPW6ASLTCJlXAB0qZWFpLZCO8zRTZGpW_g7EPWDX9xq7Z7OToJWlitKIffkJBOUh5AN9lvAYpQhEb2sVb6_J3_UXYR8F6kTuGfgVxQWqsQ1X5wchNvPNk494/s1600/DSC00456_resize.JPG" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgZXtmiSugFbb54IJUb9ErFPW6ASLTCJlXAB0qZWFpLZCO8zRTZGpW_g7EPWDX9xq7Z7OToJWlitKIffkJBOUh5AN9lvAYpQhEb2sVb6_J3_UXYR8F6kTuGfgVxQWqsQ1X5wchNvPNk494/s1600/DSC00456_resize.JPG" height="300" width="400" /></a></div>
<br />
ในบริเวณพื้นที่พักผ่อนส่วนตัวของผมมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นบ่อยครั้งจนเป็นเรื่องปกติ เหตุผลก็เพื่อมิให้เกิดภาพที่ซ้ำซากน่าเบื่อหน่ายจำเจ ดังนั้นบรรดากระถางต้นไม้จึงมีอันต้องถูกโยกย้านสลับเปลี่ยนที่ตั้งกันไปเรื่อย ตามแต่อารมณ์ที่มีอยู่ในช่วงเวลานั้น บางครั้งมันก็จะถูกบกสูงขึ้นวางบนไม้กระดานแผ่นเดียวเป็นแถวยาวทั้งสองฟากข้าง ซึ่งง่ายต่อการดูแลรักษา รดน้ำ แต่บางครั้งมันก็จะถูกยกขึ้นมาวางเรียงกันเป็นกลุ่มก้อน แต่สูงต่ำต่างระดับกันไปตามแต่ละประเภท ข้อนี้ก็เพื่อประหยัดพื้นที่และง่ายการรดน้ำแบบสายฝน บางครั้งมันก็จะถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มๆ ตามชาติกำเนิดเพื่อมองหาหนทางผสมข้ามสายพันธุ์<br />
<br />
<b><span style="color: blue;">แต่ทั้งหมดก็เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากคนเพียงผู้เดียว </span></b><br />
<b><span style="color: blue;">เพื่อสนองต่อความต้องการของคนเพียงคนเดียว </span></b><br />
<b><span style="color: blue;">ผลกระทบจึงไม่เกิดขึ้นต่อสิ่งใดทั้งสิ้น </span></b><br />
<b><span style="color: blue;">สังคมเล็กๆ นี้จึงมีแต่ความสงบสุข ร่มเย็น ไร้ข้อขัดแย้ง</span></b><br />
<br />
กฎเกณฑ์ที่บังคับใช้ภายในพื้นที่นี้ย่อมมีอยู่เช่นเดียวกับสังคมภายนอก เพราะกฎระเบียบเท่านั้นที่จะสามารถควบคุมรูปแบบของความถูกต้องไว้ได้ด้วยเหตุผล ดังนั้น การจัดวางกระถางต้นไม้จึงต้องกำหนดกลักเกณฑ์ไว้แน่ชัดว่า<br />
<br />
<ul>
<li>จะต้องไม่เกะกะกีดขวางเส้นทางสัญจร </li>
<li>จะต้องหมั่นรดน้ำพรวนดินบำรุงรักษา </li>
<li>จะต้องมีการปลูกทดแทน </li>
<li>จะต้องมีการเพิ่มขยายจำนวนออกไป </li>
<li>จะต้องให้ความสนใจในทุกวัน </li>
<li>จะต้องกำจัดวัชพืชอย่างต่อเนื่อง </li>
<li>จะต้องสรรหาพันธุ์ไม้มาเพิ่มเติมเมื่อมีโอกาส</li>
</ul>
<br />
ในทางกลับกันสังคมของคนหมู่มากก็ย่อมจะต้องมีข้อกำหนดกฏเกณฑ์ที่หลากหลายมากขึ้นเป็นธรรมดาโดยมีทั้งเรื่องที่เกี่ยวกับ การบริหาร การเมือง การปกครอง การเศรษฐกิจ การสังคม การรักษาความปลอดภัย การสาธารณสุข การศึกษา การคมนาคม ฯลฯ และเมื่อมีการแยกแขนงออกไปอีกมากมายก็จะต้องมีการขยายข้อกำหนดกฏเกณฑ์เพิ่มเติมขึ้นมาอีกเช่นกัน<br />
<br />
เมื่อพิจารณาดูแล้วจะเห็นได้ว่าในสังคมระดับประเทศจึงมีกฏ ระเบียบ ที่จะต้องถูกสร้างขึ้นจำนวนมากมายมหาศาล ครอบคลุมทุกย่างก้าวการประพฤติปฏิบัติของประชาชนในสังคม บางครั้งยังก้าวก่ายเข้าไปพยายามครอบงำในทุกความคิดของประชาชนอีกด้วย <b><span style="color: blue;">จากบรรดากฎหมายที่ถูกบัญญัติขึ้นมาโดยนักการเมืองเพียงไม่กี่คน</span></b>ที่กล่าวอ้างว่าได้รับมอบอำนาจจากประชาชนส่วนมากโดยชอบธรรม<br />
<br />
<span style="color: red;"><b>ซึ่งนั่นเป็นเพียงคำพูดของนักการเมือง</b></span><br />
<span style="color: red;"><b>ไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในสังคม</b></span><br />
<span style="color: red;"><b>เพราะนักการเมืองย่อมก้าวเดินไปตามแนวทางและนโยบายของพรรคการเมือง ไม่ใช่ทำตามเสียงเรียกร้องของประชาชน แต่เป็นการทำคำสั่งของพรรคการเมือง หรือนายทุนที่อยู่เบื้องหลังเท่านั้น</b></span><br />
<br />
<span style="color: blue;">กฎระเบียบเหล่านั้นสมควรถูกชำระให้ถูกต้อง เที่ยงธรรม </span><br />
<span style="color: blue;">ด้วยคุณธรรม จริยธรรมที่ดีของประชาชน</span><br />
<span style="color: blue;">เพื่อทำให้การเมืองสะอาด สงบ ร่มเย็น</span><br />
<span style="color: blue;">ปราศจากสิ่งโสโครกที่เกิดจาก ตัณหา ทั้งหลายทั้งปวง</span><br />
<br />chanin1222http://www.blogger.com/profile/00249325908672343913noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-572427674047273364.post-87345718428586354042013-10-02T21:53:00.002+07:002013-10-02T21:53:38.267+07:00สูงสุดคืนสู่สามัญ<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgRM7tGtwG2MdEz3-bZOYR2ipwxJT7Z6X5tcTeXnSleCxBMVXf3aIuH18gBaFZNKSDW7HTc6Dosg3XUdEbB7klLeOgo8x-7E5Ch9-3TfigJrLYAo8cQ-GT3qQQj1jww65ECJCdRYr6MVXQ/s1600/june9.JPG" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="300" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgRM7tGtwG2MdEz3-bZOYR2ipwxJT7Z6X5tcTeXnSleCxBMVXf3aIuH18gBaFZNKSDW7HTc6Dosg3XUdEbB7klLeOgo8x-7E5Ch9-3TfigJrLYAo8cQ-GT3qQQj1jww65ECJCdRYr6MVXQ/s400/june9.JPG" width="400" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
สังคมเรามีความวุ่นวายสับสนก็เพราะคนในสังคมมีจำนวนมาก คนหมู่มากหากพร้อมใจกันนำพาสังคมไปสู่แนวทางที่เที่ยงธรรม มีเหตุผล สังคมนั้นย่อมสงบสุข หากคนในสังคมมุ่งแสวงหาแต่ผลประโยชน์ส่วนตนมากกว่าเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม สังคมนั้นย่อมเกิดความขัดแย้ง</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
ความขัดแย้งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมเราทุกวันนี้ หากจะพิจารณากันด้วยเหตุและผลบวกกับใจที่เที่ยงธรรมแล้ว ก็สามารถให้คำตอบได้ในทุกเรื่อง เพียงแต่ว่ามีคนบางคนอาจจะไม่พอใจกับคำตอบที่ได้รับ เพราะคนบางคนนั้นอาจจะไม่ต้องการใช้เหตุผลหรือความยุติธรรมมาเป็นตัวชี้วัดในความถูกต้องของเรื่องราวที่เกิดขึ้น ซึ่งอาจเนื่องมาจากเห็นว่า </div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
</div>
<ul>
<li>คำตอบนั้นขัดต่อผลประโยชน์ที่ตนแสวงหา </li>
<li>คำตอบนั้นขัดขวางเส้นทางในการแสวงหาผลประโยชน์ </li>
<li>คำตอบนั้นทำให้ตนขาดความชอบธรรมในการดำเนินการ </li>
<li>คำตอบนั้นทำให้ประชาชนมองเห็นความเป็นจริงที่ถูกซ่อนเร้น </li>
</ul>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
เส้นทางทางการเมืองยอกย้อนสับสนเพราะคนในแวดวงการเมืองล้วนมองภาพต่างๆ ของบ้านเมืองไปในมุมมองที่แตกต่างจากมุมมองของประชาชนทั่วไป ฐานะของบุคคลในสังคมยังคงมีความเหลื่อมล้ำแตกต่างกันออกไปเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ผิดกันเฉพาะคำเรียกหาเท่านั้นเอง ยศฐาบรรดาศักดิ์ ยังคงเป็นสิ่งที่ผู้คนพากันแสวงหาไขว่คว้ามาครอบครอง ซึ่งในอดีตสามารถได้มาด้วยความรู้ความสามารถ ได้มาจากชาติตระกูล ได้มาจากระบบอุปถัมภ์ ได้มาจากความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์บ้านเมือง</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
แต่ในปัจจุบัน ยุคของความเจริญไร้ขอบเขต ยศฐาบรรดาศักดิ์ไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าเป็นทหารหรือข้าราชการพลเรือนเท่านั้น แต่ขยายขอบเขตออกไปถึงตำแหน่งทั้งหลายของข้าราชการการเมือง ตั้งแต่ นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการ รัฐมนตรีช่วยว่าการ รัฐมนตรีประจำ ที่ปรึกษาฯลฯ เลขาธิการฯลฯ เลขานุการฯลฯ ส.ส. ส.ว.ผู้ว่าราชการ กทม. นายก อบจ. นายก อบต. นายกเทศมนตรี กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สารวัตรกำนัน รวมไปถึงบรรดาสมาชิกสภาต่างๆ อีกจำกันไม่หวาดไม่ไหว เหล่านี้คือตำแหน่งที่ถือว่ามียศฐาบรรดาศักดิ์เหนือกว่าประชาชนคนเดินดิน </div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
แน่นอนว่าบุคคลเหล่านี้ย่อมมีอภิสิทธิ์ต่างๆ เหนือล้ำกว่าประชาชนคนทั่วไป จะมากหรือน้อยก็แ้ล้วแต่ฐานะที่ได้รับและสิทธิที่พึงมีพึงได้ตามที่กฎหมายกำหนด บางคนอาจมีสิทธิในการใช้ทางหลวงแผ่นดินเพื่อการเดินทางที่สะดวกรวดเร็วและปลอดภัยกว่าผู้อื่น บางคนอาจได้รับสิทธิ์ในการรับประทานอาหารที่จัดเตรียมไว้ในงบประมาณ 2 แสนกว่าบาทสำหรับ 2 มื้อ บางคนอาจมีสิทธิได้รับเงินเดือนและเงินค่าตอบแทนมากกว่า 1 แสนบาต่อเดือนโดยไม่ต้องเข้าร่วมกิจกรรมใดๆ ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ว่าต้องกระทำ เช่น ส.ส. หรือ ส.ว.ซึ่งจะต้องเข้าประชุมสภา เป็นต้น บางคนก็มีสิทธิที่จะจับกุม ตรวจค้น ใครก็ได้ตามแต่อารมณ์หรือมีผู้สั่งการลงมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีเหตุผล</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าบ้านเมืองเราเต็มไปด้วยอภิสิทธิ์ชนมากมายเหลือคณานับ เป็นวิถีทางที่ขับดันให้มีการโกงกินในทุกระดับของการบริหาร การปกครองที่มีงบประมาณเข้ามาเกี่ยวข้อง</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b><span style="color: blue;">จากการสำรวจโพลหลายโพลในรอบหลายๆ ปี สรุปได้ว่า ประชาชนยอมรับได้กับการโกงกินของนักการเมืองหรือข้าราชการทั่วไป ขอเพียงแต่ให้เศษเงินเหล่านั้นตกมาถึงตนบ้าง ก็พอใจแล้ว</span></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<span style="color: red; font-size: large;"><b>การยอมรับของประชาชนในเรื่องนี้ </b></span></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<span style="color: red; font-size: large;"><b>เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า</b></span></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<span style="color: red; font-size: large;"><b>นี่คือหายนะของประเทศชาติ</b></span></div>
<br />chanin1222http://www.blogger.com/profile/00249325908672343913noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-572427674047273364.post-79969742727833621332013-08-08T09:47:00.002+07:002013-08-08T09:47:29.577+07:00กฎหมายคอมฯ<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://1.bp.blogspot.com/-MfURwu8HR2U/UUKxvEeRrzI/AAAAAAAAFmg/v9BH71CQ5c8/s1600/mylogo.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://1.bp.blogspot.com/-MfURwu8HR2U/UUKxvEeRrzI/AAAAAAAAFmg/v9BH71CQ5c8/s400/mylogo.jpg" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
ร่าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฉบับใหม่ล่าสุดจากกระทรวงไอซีทีเป็นเรื่องที่น่าจะพูดถึงมากที่สุดในช่วงเวลานี้ ซึ่งร่างกฎหมายนี้มีความเป็นไปได้สูงที่จะผ่านการพิจารณาจากฝ่ายนิติัญญัติและประกาศใช้ได้ภายในปี 2556 ร่างกฎหมายฉบับนี้เขียนขึ้นโดยให้ยกเลิก พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ทั้งฉบับ สำหรับโครงสร้างของเนื้อหากฎหมายก็มีลักษณะคล้ายคลึงฉบับเดิมอยู่เป็นส่วนมาก แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ เนื้อหาที่เพิ่มขึ้นมาใหม่นั้นหลายข้อทำเอาวงการไอทีถึงกับตกตะลึงตาค้างไปตามๆ กัน กับแนวความคิดที่วิจิตรพิสดาร ยอกย้อนซ่อนเงื่อน กำกวมและเพิ่มอัตราโทษในบางมาตราหนักหนาสาหัสจนแทบจะกลั้นใจตายไปตามๆ กัน<br />
<br />
อันที่จริงร่างกฎหมายนี้เคยเผยโฉมออกมาครั้งแรกน่าจะประมาณปี 2554 แต่ก็มีเสียงคัดค้านทักท้วงกันระงมจนต้องกลับไปทบทวนบทบาทและเริ่มดำเนินการสัมนาระดมความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญทั้งทางด้านไอที ทั้งด้านกฎหมายมหาชน เพื่อหาทางออกที่สวยงามที่สุดให้เป็นที่ถูกใจของผู้คนทั้งแผ่นดิน (แต่ในความจริงแล้วก็เอาแค่ถูกใจคนในฝ่ายนิติบัญญัติเพียงไม่กี่คนก็พอเพียงแล้ว) เนื่องจากประชาชนทุกคนไม่มีสิทธิที่จะเข้าไปนั่งเสนอหน้ายกมือคัดค้านอะไรได้อยู่แล้ว ส่วนการคัดค้านด้านหลักการของนักวิชาการจากภายนอกสภาก็ดูเหมือนจะไม่มีความหมายอะไรต่อกระบวนการพิจารณาออกกฎหมายของรัฐสภาเช่นกัน<br />
<br />
เนื้อหาของร่างกฎหมายฉบับนี้หาอ่านได้ทั่วไปในโลกออนไลน์ ครอบคลุมกว้างไกลทั้งด้านความมั่นคงแทบจะทุกแง่มุมด้านไอที รวมไปถึงกฎหมายอาญาเกี่ยวกับคดีหมิ่นประมาทที่มีอัตราโทษหนักกว่าที่กำหนดโทษไว้ในประมวลกฎหมายอาญาเสียอีก ตามมาด้วยการบัญญัติศัพท์หรือคำจำกัดความที่กำกวม ซ่อนเงื่อนจนต้องใช้สันขวานไปตีความกันหลายรอบก็ยังไม่เข้าใจจนเกือบจะแน่ใจได้ว่า <b>"นี่คือมาตราการเปิดช่องทางทำมาหากินให้กับเจ้าพนักงาน"</b> ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้<br />
<br />
ที่สำคัญที่สุดก็คือ กฎหมายฉบับนี้มีข้อความในเนื้อหาที่ละเมิดต่อสิทธิ เสรีภาพของประชาชนอย่างโจ่งแจ้ง และแน่นอนว่าเนื้อหาเหล่านี้ย่อมขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงไม่สมควรที่จะมีการนำเสนอเข้าสู่การพิจารณาของฝ่ายนิติบัญญัติจนกว่าจะมีการระดมความคิดจากทุกฝ่ายอย่างเป็นทางการ และควรจะผ่านการลงประชามติจากประชาชนเสียก่อน เนื่องจากบทบัญญัติของกฎหมายมีผลกระทบต่อสิทธิ เสรีภาพ และชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนทั้งแผ่นดิน<br />
<br />
ร่าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ควรจะเป็น ร่าง พ.ร.บ.ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการควบคุมการใช้งานคอมพิวเตอร์ของประชาชนในแนวทางที่สร้างสรรค์ โดยพิจารณาถึงผลกระทบที่จะติดตามมาอย่างรอบคอบที่สุด เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ประชาชน ที่น่าจะเป็นฝ่ายได้รับผลประโยชน์จากกฎหมาย ไม่ใช่เป็น ร่าง พ.ร.บ.คอมมิวนิสต์ ที่ประกาศใชช้เพื่อควบคุมและจำกัดสิทธิ เสรีภาพของประชาชนchanin1222http://www.blogger.com/profile/00249325908672343913noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-572427674047273364.post-6920815231412121122013-07-04T11:51:00.002+07:002013-07-04T11:51:31.070+07:00สังคมออนไลน์<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEghEH3ptm2q5HaaGWvaUvjMgJ7_I1l1Rj27AiwQRSK6v6hQZsgANW7BwfVAe8OfJ8kX_C3VmCkg7TQkhwRZh_DC-XD01_pojCb6wmGOSg05Iu11GatIyVmhFYO7a8n8EzTuZgm0zrRuIKIK/s465/CommunicateWithClarity.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="218" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEghEH3ptm2q5HaaGWvaUvjMgJ7_I1l1Rj27AiwQRSK6v6hQZsgANW7BwfVAe8OfJ8kX_C3VmCkg7TQkhwRZh_DC-XD01_pojCb6wmGOSg05Iu11GatIyVmhFYO7a8n8EzTuZgm0zrRuIKIK/s400/CommunicateWithClarity.jpg" width="400" /></a></div>
<b>ก.ไอซีที แนะผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ เช็คข้อมูลก่อนเชื่อและแชร์ </b><br />
<br />
นายไชยยันต์ พึ่งเกียรติไพโรจน์ ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กล่าวถึง สถานการณ์การใช้สื่อสังคมออนไลน์ ว่า ปัจจุบันประชาชนได้ใช้สื่อสังคมออนไลน์กันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะ Facebook Instagram และ Twitter เนื่องจากสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้โดยง่ายผ่านช่องทางต่างๆ อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์พีซี โทรศัพท์เคลื่อนที่ สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต จึงทำให้เข้าถึงเนื้อหาบนโลกออนไลน์ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว รวมถึงสามารถโพสต์ แชร์ กดไลค์ และแสดงความคิดเห็นต่อข้อมูลต่างๆ ได้อย่างเสรี โดยการกระทำต่างๆ ที่กล่าวไปนั้น บางครั้งอาจส่งผลกระทบต่อสังคมในวงกว้างได้ ซึ่งส่วนใหญ่มักเกิดจากการที่ผู้ใช้ไม่ได้คัดกรองข้อมูลข่าวสารมากมายต่างๆ ที่เข้ามาอย่างเพียงพอ<br />
<br />
ดังกรณีตัวอย่างเช่น การแชร์ภาพบัตรประจำตัวประชาชนหรือภาพของบุคคลต่างๆ โดยอาจมีการบรรยายว่าบุคคลนั้นได้กระทำความผิด ซึ่งข้อเท็จจริงแล้วยังมิได้มีการตรวจสอบถึงบุคคลที่ปรากฏอยู่บนบัตรประจำตัวประชาชนใบนั้น ว่าได้กระทำความผิดหรือไม่ การกระทำดังกล่าว อาจทำให้บุคคลในภาพตกเป็นจำเลยของสังคม ซึ่งผู้ที่ทำการแชร์ภาพหรือให้ข้อมูลเหล่านี้อาจมีความผิดฐานละเมิดสิทธิข้อมูลส่วนบุคคล การหมิ่นประมาท และพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 โดยบางครั้งเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏแล้วว่าบุคคลดังกล่าวมิได้กระทำความผิดตามที่อ้างจริง แต่ข้อเท็จจริงเหล่านั้นอาจจะไม่ย้อนกลับไปยังกลุ่มคนบางกลุ่มที่ได้แชร์ข้อมูลไปก่อนหน้า ทำให้ผู้เสียหายยังคงตกเป็นจำเลยของสังคมจนถึงปัจจุบันทั้งๆ ที่ไม่ได้กระทำความผิดใดเลย<br />
<br />
อีกหนึ่งกรณีตัวอย่าง ได้แก่ การโพสต์ให้ความรู้ที่ไม่ถูกต้องแก่ประชาชนในเรื่องแถบสีของหลอดยาสีฟัน โดยอ้างว่าแถบสีแต่ละสีหมายถึงสรรพคุณหรือส่วนประกอบต่างๆ ของยาสีฟัน ซึ่งจากข้อเท็จจริงแล้วไม่ได้เป็นไปตามที่กล่าวอ้าง กรณีนี้ ผู้ที่นำข้อมูลมาแชร์ต่อ ต้องคำนึงถึงว่ายังมีเด็กและเยาวชนอีกจำนวนมากที่บริโภคข้อมูลต่างๆ ผ่านสื่อออนไลน์ ตลอดจนประชาชนทั่วไปที่เข้ามาชมข้อมูลผ่านสื่อดังกล่าว อาจเกิดความเข้าใจผิดและนำไปถือเป็นแนวคิดในการบริโภคสินค้าที่ไม่ถูกต้องได้ สำหรับกรณีตัวอย่างสุดท้าย ได้แก่ การแชร์ข้อมูลผู้ป่วยหรือมีปัญหาด้านสุขภาพแล้วอ้างว่า หากทำการแชร์ข้อมูลดังกล่าวแล้ว จะมีการบริจาคเงินโดยผู้ให้บริการเว็บไซต์ดังกล่าวให้แก่บุคคลที่อยู่ในภาพตามจำนวนการแชร์ข้อมูลทั้งหมด ซึ่งข้อมูลที่ประชาชนได้รับทราบดังกล่าวนั้นไม่เป็นความจริง เป็นเพียงการนำภาพบุคคลนั้นๆ มาใช้แสวงหาผลประโยชน์อื่นจากการสร้างข้อมูลแชร์ ส่งผลให้เกิดปัญหาด้านระบบจากการแชร์ข้อมูลจำนวนมหาศาล<br />
<br />
ในส่วนของการแชร์ข้อมูลเกี่ยวกับการบริหารจัดการภารกิจของหน่วยงานราชการ อาทิ การจำนำข้าว ประชาชนควรติดตามข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงสาธารณสุข เป็นต้น รวมถึงข้อมูลในเรื่องอื่นๆ ด้วย ขอให้ประชาชนอย่าเพิ่งหลงเชื่อข้อมูลที่มาจากการแชร์ผ่านสื่อออนไลน์ในทันที ขอให้ทำการตรวจสอบข้อมูลและข้อเท็จจริงให้รอบด้านก่อน ตลอดจนไตร่ตรองก่อนกระทำการแชร์ข้อมูลต่างๆ เพื่อลดปัญหาการสื่อสารหรือส่งต่อข้อมูลที่ผิดพลาด<br />
<br />
“ทั้งนี้ กระทรวงไอซีที ต้องขอความร่วมมือจากประชาชนทุกคน ให้ร่วมใจกันสร้างสรรค์สังคมออนไลน์ให้เป็นสังคมที่มีคุณภาพ เป็นแหล่งข้อมูลข่าวสารอันเป็นประโยชน์ ไม่เป็นพื้นที่ในการสร้างและส่งต่อข้อมูลอันเป็นเท็จ หรือข้อมูลที่ไม่เหมาะสม รวมทั้งใช้อินเทอร์เน็ตอย่างมีจิตสำนึกที่ดีและมีความรับผิดชอบต่อผู้อื่นและสังคม ตลอดจนร่วมกันสอดส่องดูแลสังคมให้ปลอดภัยจากสิ่งไม่พึงประสงค์ โดยหากพบเห็นเว็บไซต์หรือข้อความที่มีเนื้อหาไม่เหมาะสมสามารถแจ้งมาได้ที่ศูนย์ CSOC โทร.1212 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง” นายไชยยันต์ฯ กล่าว<br />
<br />
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต<br />
ข้อมูลจาก http://www.mict.go.th/ewt_news.php?nid=7326&filename=index<br />
เมื่อ 4 กรกฎาคม 2556<br />
<br />
มีคำถามเกิดขึ้นมาพร้อมๆ กับสังคมออนไลน์แล้วว่า<br />
สังคมนี้จะสามารถสร้างประโยชน์ หรือสร้างหายนะให้กับสังคมมนุษย์<br />
คำตอบก็คือ มันสร้างได้ทั้งสองอย่างในระดับใกล้เคียงกัน<br />
และมันก็เป็นเรื่องปกติสามัญเหมือนกับการใช้งานเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ<br />
<br />
<span style="color: red; font-size: large;"><b>เพราะประโยชน์หรือโทษ </b></span><br />
<span style="color: red; font-size: large;"><b>ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวของมันเอง</b></span><br />
<span style="color: red; font-size: large;"><b>แต่ขึ้นอยู่กับมนุษย์ซึ่งเป็นผู้ใช้งาน</b></span><br />
<span style="color: red; font-size: large;"><b><br /></b></span>
และก็เป็นเรื่องปกติสามัญที่ผู้กระทำความผิดย่อมต้องการปกปิดความผิดนั้นไว้ไม่ให้ปรากฎออกมา แต่สังคมออนไลน์มีขอบเขตกว้างไกลไร้พรมแดน เป็นทั้งหู เป็นทั้งตา ที่คอยสอดส่องไปทั่วทุกหัวระแหง และเป็นหูตาที่ไม่หวังผลประโยชน์ตอบแทน เพียงแต่ต้องการเห็นสิ่งที่ถูกต้อง ชอบธรรมเกิดขึ้นในในสังคม<br />
<br />
ดังนั้น สังคมออนไลน์จึงเป็นเสี้ยนหนามสำคัญที่จะเป็นอุปสรรคขัดขวางการกระทำความผิดในรูปแบบต่างๆ ของคนหลายๆ คน ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดา นักธุรกิจ นายทุน ข้าราชการ นักการเมือง หรือ แม้แต่คณะรัฐบาล<br />
<br />
<b><span style="color: red;">ดาบย่อมมีสองคมจึงจะนับว่าเป็นดาบที่มีอานุภาพสูงสุด</span></b><br />
<b><span style="color: red;">ขึ้นอยู่กับผู้ใช้งานว่าจะสามารถควบคุมและใช้งานมันได้ดีเพียงใด?</span></b><br />
<b><span style="color: red;">และเพื่อประโยชน์อะไร?</span></b>chanin1222http://www.blogger.com/profile/00249325908672343913noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-572427674047273364.post-12281028952594050122013-06-02T10:51:00.000+07:002013-06-02T10:51:06.259+07:00งบประมาณ พ.ศ.2556<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://3.bp.blogspot.com/-NHJJxBNgA2Y/Tg1dwJ5Q4GI/AAAAAAAAC64/rBs4TfK9_3k/s1600/images.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="257" src="http://3.bp.blogspot.com/-NHJJxBNgA2Y/Tg1dwJ5Q4GI/AAAAAAAAC64/rBs4TfK9_3k/s400/images.jpg" width="400" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2556 จำนวน 2,400,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 จำนวน 20,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.8 โดยวงเงินงบประมาณดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 19.1 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
หากจะมาวิเคราะห์ถึงรายการแต่ละรายการคงต้องใช้เวลาแจกแจงรายละเอียดกันไม่ต่ำกว่าสามเดือน จึงจะนำมาเฉพาะส่วนที่เห็นว่าสำคัญและควรจับตามองเป็นพิเศษ เช่น งบประมาณรายจ่ายการเศรษฐกิจของปี 2555 ตั้งไว้จำนวนเงิน 421,238.8 ล้านบาท(คิดเป็น ร้อยละ 17.7 ของเงินงบประมาณ) แต่ในปีงบประมาณ 2556 เพิ่มขึ้นมาเป็น 471,491.8 ล้านบาท (คิดเป็น ร้อยละ 19.6 ของเงินงบประมาณ) ซึ่งทางรัฐบาลได้ให้เหตุผลไว้ว่า</div>
<br />
<ol>
<li>การเศรษฐกิจทั่วไป การพาณิชย์ และการแรงงาน จำนวนเงิน 20,501.1 ล้านบาท</li>
<li>การเกษตร การป่าไม้ การประมง และการสงวนพันธุ์สัตว์ป่า จำนวนเงิน 163,994.9 ล้านบาท</li>
<li>การเชื้อเพลิงและพลังงาน 2,692.6 </li>
<li>การเหมืองแร่ ทรัพยากรธรณี <b>การอุตสาหกรรม</b> และการโยธา จำนวนเงิน 12,975.8 ล้านบาท</li>
<li>การขนส่ง จำนวนเงิน 107,675.8 ล้านบาท</li>
<li>การสื่อสาร จำนวนเงิน 2,511.7 ล้านบาท</li>
<li><b>การอุตสาหกรรมอื่น</b> จำนวนเงิน 18,986.7 ล้านบาท</li>
<li>การวิจัยและการพัฒนาด้านการเศรษฐกิจ จำนวนเงิน 30.0 ล้านบาท</li>
<li><b>การเศรษฐกิจอื่น</b> จำนวนเงิน 142,123.2 ล้านบาท</li>
</ol>
<br />
หากมองผ่านๆ จะเห็นงบประมาณการอุตสาหกรรมรวมอยู่ในรายการที่ 4 แล้ว แต่ก็ยังมีการอุตสาหกรรมอื่นๆ อีกในรายการที่ 7 และข้อสงสัยผ่านเลยไปจนถึงคำว่า "การเศรษฐกิจอื่นๆ" ในรายการที่ 9 ว่าตั้งขึ้นมาไว้ทำไม? ในเมื่อในแต่ละรายการได้ครอบคลุมเนื้อหาโดยรวมของระบบเศรษฐกิจไว้อย่างครบถ้วนแล้ว แสดงถึงช่องว่างทางการเมืองของระบบเงินงบประมาณที่มีข้อควรจับตามองเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากการตั้งเผื่อไว้สำหรับเป็นทุนสนับสนุนในรายการต่างๆ ก็สมควรที่จะระบุออกมาให้ชัดเจนมากกว่านี้ ไม่ใช่ตั้งขึ้นมาลอยๆ โดยมีวัตถุประสงค์บางอย่างแอบแฝงอยู่<br />
<br />
ไม่ต้องพูดถึงรายการอื่นๆ ของการจัดสรรเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2556 ที่มีข้อสงสัยหลายประการ โดยเฉพาะบางหน่วยงานที่ไม่มีผลงานในสายตาของประชาชนกลับได้รับการจัดสรรงงบประมาณไว้จนเกินความจำเป็น(ทั้งๆ ที่ไม่เคยมองเห็นความจำเป็นเอาเสียเลย) รัฐบาลมุ่งเน้นไปที่ภคเศรษฐกิจในสายอุตสาหกรรมจนเกินเหตุ<br />
<br />
และละเลยต่อภาคเกษตรกรรมโดยสิ้นเชิง แม้จะด้มีการตั้งงบประมาณในภาคเกษตรเอาไว้แต่ก็มีจำนวนน้อยกว่าที่เกษตรกรต้องการ และดูจะเป็นไปตามกลไกการบริหารแบบเสียไม่ได้มากกว่าที่จะใส่ใจนำมาปฏิบัติอย่างจริงจังในการให้การสนับสนุนภาคเกษตร<br />
<br />
<b>ที่ส่วนมากก็เป็นฐานเสียงสำคัญของรัฐบาล</b><br />
<br />
<br />chanin1222http://www.blogger.com/profile/00249325908672343913noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-572427674047273364.post-67065591246134572172011-11-09T22:14:00.000+07:002011-11-09T22:14:09.814+07:00งบประมาณแผ่นดินปี 2555<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhQ-UCweB30NUWLdTvXf-L7kZay25afwb-48w9wjUpdoc_3PiTP4_vQWAqoTNUgTa-xYkasq7e2YhznLCyID60KnmJC__8MTS_PgdkZNLPpqviOnzcTV6dYmSeC-gmP6SyvDYSZ8btFpBey/s1600/fake-dog-sushi.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="321" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhQ-UCweB30NUWLdTvXf-L7kZay25afwb-48w9wjUpdoc_3PiTP4_vQWAqoTNUgTa-xYkasq7e2YhznLCyID60KnmJC__8MTS_PgdkZNLPpqviOnzcTV6dYmSeC-gmP6SyvDYSZ8btFpBey/s400/fake-dog-sushi.jpg" width="400" /></a></div><br />
<b>ข่าวจาก นสพ.คมชัดลึก เมื่อ 8 พ.ย.54 ซึ่งน่าจะให้ความสนใจสักนิดเพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2555 แน่อนล่ะว่าเป็นการใช้จ่ายเงินภาษีของเราท่านท้งหลายโดยรัฐบาล ส่วนที่ว่าจะเหมาะสมหรือไม่? ขึ้นอยู่กับวิจารณญานของแต่ละท่าน</b><br />
<br />
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าตามที่ สภาผู้แทนราษฎร ได้บรรจุวาระพิจารณาร่างพรบ.รายจ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ 2555 ซึ่งมีวงเงิน 2,380,000 ล้านบาท และจะพิจารณาในวันที่ 9-10 พ.ย.นี้ โดยงบประมาณในปีนี้ถือว่า เพิ่มขึ้น ร้อยละ 9.7 จากงบประมาณ ปี 2554 ซึ่งจากการตรวจสอบงบประมาณรายงายจ่าย โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการบริหารและจัดการน้ำท่วม พบว่า มีอยู่ในหลายส่วนงาน อาทิ ภายใต้ ยุทธศาสตร์สร้างสร้างรากฐานการพัฒนาที่สมดุลสู่สังคมที่มีวงเงินที่ใช้ 475,062.6 ล้านบาท โดยเป็นส่วนของแผนงานส่งเสริมการบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการ วงเงิน 45,268.6 ล้านบาท และงบประมาณ เพื่อนำไปใช้เยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัย ในด้านต่างๆ อย่างบูรณาการ จำนวน 120,000 ล้านบาท<br />
<br />
นอกจากนี้ ในส่วนของยุทธศาสตร์การอนุรักษ์ ฟื้นฟู ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทีมีกำหนดวงเงินไว้ 45,148.9 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 1.9 ของงบประมาณทั้งหมด ยังมี แผนงานจัดการทรัพยากรน้ำ เพื่อจัดการและฟื้นฟูและเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงภัย ใช้วงเงิน 7,924.2 ล้านบาท แผนงานป้องกัน เตือนภัย แก้ไข และฟื้นฟูความเสียหายจากภัยพิบัติ วงเงิน 13,937 ล้านบาท และ แผนงานแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศ วงเงิน 101.7 ล้านบาท<br />
สำหรับ ยุทธศาสตร์การพัฒนาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีการวิจัย และนวัตกรรม ได้กำหนดวงเงินไว้ 18,037.7 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.7 ของงบประมาณทั้งหมด มีแผนงานที่เกี่ยวกับน้ำท่วมคือ แผนงานส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีป้องกันและแก้ไขภัยพิบัติ วงเงิน 7,370 ล้านบาท <br />
<br />
<b>งบเยียวยา 1.2 แสนล้าน รายละเอียดยังไม่ชัด</b><br />
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบ งบประมาณจำนวน 120,000 ล้านบาท ที่รัฐบาลกำหนดว่า จะใช้ในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ได้ตั้งไว้ในส่วนของงบกลาง แต่ระบุถึงรายละเอียดการใช้ หรือโครงการที่จะนำเงินจำนวนดังกล่าวไปดำเนินการ ยังไม่ชัดเจน ซึ่งเป็นการระบุแบบกว้าง ๆ เท่านั้นว่า จะใช้เยียวยา ป้องกันและฟื้นฟู อาทิกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งมีข้อสังเกตว่า มีการกำหนดงบประมาณ 300 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าซ่อมแซมโครงการเนื่องจากอุทกภัย แต่กลับไมได้มีการแจกแจงรายละเอียด<br />
<br />
<b>ปภ. ขอ 4,333 ล้านบาท</b><br />
ขณะที่ส่วนของกระทรวงมหาดไทย ในส่วนของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ที่ของบ ไว้ 4,333,004,600 บาท ระบุรายเอียดไว้ว่า จะนำไปใช้ในแผนงานป้องกัน เตือนภัย แก้ไข และฟื้นฟูความเสียหายจากภัยพิบัติ แบ่งเป็น มาตรการป้องกัน และเตือนภัยจากสาธารณภัย งบจำนวน 2,174 ล้านบาท ส่วนใหญ่ เป็นงบประมาณที่จัดหาอุปกรณ์อิเลกทรอนิกส์ อาทิ คอมพิวเตอร์ , โปรแกรมประยุกต์บริหารจัดการข้อมูลด้านสาธารณภัยภาวะวิกฤต, ค่าก่อสร้างที่ดิน<br />
<br />
นอกจากนั้น มีงบในส่วนของโครงการศูนย์บัญชาการสาธารณภัยแห่งชาติ จำนวน 5 ล้านบาท, โครงการป้องกันและลดผลกระทบจากน้ำท่วม น้ำป่าไหลหลาก และโคลนถล่ม จำนวน 14 ล้านบาท<br />
<br />
สำหรับ มาตรการบรรเทา และฟื้นฟู บูรณะโครงสร้างพื้นฐานหลังภัยพิบัติผ่านพ้น มีวงเงินจำนวน 2,158 ล้านบาท เพื่อบูรณาการการเตรียมความพร้อมและบริหารจัดการภัยสาธารณภัยอย่างครบวงจร ในส่วนของงบลงทุน มีจำนวน 1,643 ล้านบาท แบ่งเป็น ค่าครุภัณฑ์ยานพาหนะและขนส่ง, รถผลิตน้ำดื่ม 5 คัน เป็นเงิน 26 ล้านบาท, รถบรรทุกติดตั้งเครื่องสูบน้ำระยะไกล 3 คัน เป็นเงิน 144 ล้านบาท, รถปฏิบัติการกู้ภัยสารเคมีและวัตถุอันตราย 3 คัน เป็นเงิน 119 ล้านบาท, รถบรรทุกข์พร้อมเรือกู้ภัย ขนาดไม่น้อยกว่า 7 ที่นั่ง จำนวน8 ลำ เป็นเงิน 92 ล้านบาท เป็นต้น<br />
<br />
ส่วนของกรมโยธาธิการและผังเมือง มีแผนงานป้องกัน เตือนภัย แก้ไขและฟื้นฟูความเสียหายจากภัยพิบัติ จำนวน 8,135 ล้านบาท แบ่งเป็นงบประมาณที่ใช้ในระบบป้องกันน้ำท่วมพื้นที่ชุมชนที่จัดทำ จำนวน 2,803 ล้านบาทส่วนใหญ่เป็นโครงการที่มีผลผูกพันงบประมาณข้ามปี ตั้งแต่ปี 2552-2557 , งบประมาณที่ใช้ก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำและริ่มทะเลทั่วประเทศ เป็นเงิน 1,442 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นโครงการที่มีผลผูกพันงบประมาณข้ามปี<br />
<br />
ทั้งนี้ ได้มีโครงการที่เพิ่งตั้งเรื่องเพื่อของบประมาณ ในปีงบประมาณ 2555 ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ภาคเหนือ,ภาคกลาง และภาพตะวันออกเฉียงเหนือ รวม 134 รายการ อาทิ 1.โครงการศึกษาออกแบบระบบโครงสร้างป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งจากคลื่นสึนามิ จำนวน 6.7 ล้านบาท, เขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำยม ใน อ.กงไกลาศ จ.สุโขทัย ความยาว 250 เมตร จำนวน 3 ล้านบาท, เขื่อนป้องกันตลิ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ ต.หาดทนง ต.เมือง จ.อุทัยธานี, บริเวณวันปู่ศุข อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท<br />
<br />
<b>เตรียม 76 ล้านบาท จัดทำโครงการ-ผังนโยบาย บรรเทาอุทกภัย 25 ลุ่มน้ำ</b><br />
นอกจากนั้น ยังได้ตั้งงบจำนวน 76 ล้านบาท เพื่อทำโครงการและจัดทำผังนโยบายบรรเทาอุทกภัยลุ่มน้ำ จำนวน 25 ลุ่มน้ำ อาทิ ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา, ลุ่มน้ำวัง, ลุ่มน้ำชี ซึ่งเป็นโครงการระยะเยาว 11 ปี (2555-2565) มีวัตถุประสงค์ คือ จัดทำแผนนโยบาย โครงการและมาตรการใช้ที่ดินบรรเทาอุทกภัย, ปรับปรุงผังเมืองบริเวณพื้นที่เศรษฐกิจ, จัดให้มีเครื่องมือและกลไกสนับสนุนในการบริหารจัดการใช้ประโยชน์ที่ดิน, จัดให้มีเครื่องมือบูรณาการแผนงาน โครงการด้านการผังเมือง และบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของคณะกรรมการลุ่มน้ำให้สอดรับกับภาพรวมอนาคตของการตั้งถิ่นฐานอย่างเหมาะสม<br />
<br />
ทั้งนี้ ยังได้เสนอของบอีก 1 หมื่นล้านบาท เพื่อทำโครงการช่วยเหลือฟื้นฟูความเสียหายจากภัยพิบัติธรรมชาติ วัตถุประสงค์ คือ ช่วยเหลือ เยียวยา และฟื้นฟูผู้ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย และสาธารณภัยต่างๆ ในพื้นที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น<br />
<br />
<b>คมนาคมตั้งงบ ซ่อมถนน 4,500 ล้านบาท</b><br />
สำหรับกระทรวงคมนาคม ส่วนของกรมทางหลวงชนบท มีโครงการซ่อม ฟื้นฟูทางหลวงชนบทอันเนื่องมาจากเหตุภัยพิบัติ 4,500 ล้านบาท รวม 142 รายการ อาทิ ถนนสาย อย.3011 แยก ทล.347 - บ.โคก อ.บางไทร จ.อยุธยา, ถนนสาย อย.4014 แยก ทล.3263 - บ.เกาะ อ.บางไทร จ.อยุธยา, ถนนสาย พจ.4011 แยก ทล.1289 - บ.ท้ายน้ำ อ.โพทะเล จ.พิจิตร , ถนนสาย ศก.5009 แยกเทศบาลเมืองศรีสะเกษ-อ.ยางชุมน้อย อ.เมือง จ.ศีรสะเกษ<br />
<br />
<b>"อุตสาหรรม" ไม่ของบน้ำท่วม</b><br />
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของกระทรวงอุตสาหกรรมซึ่งได้มีโรงงานเป็นจำนวนมากได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม รวมถึงนิคมอุตสาหกรรมหลายแห่งต้องจมน้ำ แต่กลับไม่พบการกำหนดรายละเอียดของบประมาณเข้ามา แต่อย่างใด<br />
<br />
<b>อึ้ง ! จังหวัดประสบภัย ไม่พบงบฟื้นฟู</b><br />
สำหรับงบประมาณรายจังหวัด หากไม่นับ กทม. และ เมืองพัทยา พบว่า ในส่วนของจังหวัดที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารภัย ระบุให้เป็นพื้นที่ประสบอุทกภัย จำนวน 26 จังหวัด อาทิ จ.พิจิตร, จ.พิษณุโลก, จ.นครสวรรค์, จ.อุทัยธานี, จ.อ่างทอง, จ.สุพรรณบุรี, จ.ฉะเชิงเทรา, จังหวัดปทุมธานี ไม่พบมีการใส่รายละเอียดที่ใช้ในการฟื้นฟูพื้นที่น้ำท่วม หรือ โครงการที่ใช้การบูรณาการงานแก้ไขปัญหาน้ำท่วมอย่างยั่งยืน<br />
<br />
เช่น จังหวัดปทุมธานี ที่ประสบภัยปัญหาน้ำท่วมมากถึง 7 อำเภอ ได้เสนอของบประมาณ 174.6 ซึ่งลดลงจากปีที่ผ่านมา คือ 176.9 ล้านบาท ซึ่งเมื่อเข้าไปดูในรายละเอียดพบว่า เป็นการของบประมาณบริหารจัดการด้านทรัพยากรธรรมชาติ จำนวน 20.7 ล้านบาท เป็นในส่วนของ การจ้างที่ปรึกษาให้เข้ามาดำเนินการในโครงการต่างๆ อาทิ โครงการพัฒนาโครงงานอุตสาหกรรมให้เป็นโรงงานสีเขียว จำนวน 5 ล้านบาท, โครงการการสร้างเครือข่ายภาคประชาชนในการควบคุมเฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อม 2 ล้านบาท, ศึกษาการจัดการขยะโดยชุมชน 5.7 ล้านบาท เป็นต้น<br />
<br />
ขณะที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่ประสบภัยน้ำท่วม 16 อำเภอ และแหล่งโบราณสถานเสียหายเป็นจำนวนมาก เสนอของบประมาณ 204,795,100 บาท ซึ่งลดจากปีที่ผ่านมา คือ 202,757,500 บาท ไม่มีงบด้านการเตือนภัย หรือ ฟื้นฟูภัยพิบัติ แต่จะมีในส่วนของค่าที่ดินและสิ่งก่อสร้าง ในหมวดของค้าก่อสร้างทางและสะพาน จำนวน 71 ล้านบาท ที่ใช้ปรับปรุงผิวจราจร อาทิ การปรับปรุงผิวจราจรลูกรังเป็นผิวลาดยาง สายแยกทางหลวงหมายเลข 32-แยกทางหลวงหมายเลข 3056 อ.อุทัย จ.อยุธยา ตอนที่ 1 จำนวน 1 แห่ง, ปรับปรุงถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก หรือสะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก สายสำเภาล่ม-วัดไก่เตี้ย จำนวน 1 แห่ง เป็นต้น<br />
<br />
จังหวัดชัยนาท ที่ประสบภัยน้ำท่วม มากถึง 8 อำเภอ ที่เสนอของบประมาณ 136,431,500 บาท ซึ่งลดจากเดิมที่ได้ 144,006,800 บาท ไม่มีระบุถึงงบฟื้นฟู หรือพัฒนาพื้นที่ แต่มีงบในส่วนบริหารจัดการด้านทรัพยากร จำนวน 133,600 บาท ที่ไว้เป็นค่ารับรองและพิธีการเท่านั้น<br />
<br />
จังหวัดสุพรรณบุรี ที่ประสบภัยน้ำท่วมน้อยที่สุด 4 อ. ได้รับงบประมาณ 172,157,300 บาท ซึ่งถือว่าเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ได้ 169,909,100 บาท ทั้งนี้เมื่อสำรวจดูงบ พบว่างบกระจุกตัวอยู่ในส่วนของการส่งเสริม การพัฒนาด้านเศรษฐกิจ และได้ของบ ในการปรับปรุงถนน และสะพาน รวมถึงปรับปรุงอาคารแสดงนิทรรศการประวัติศาสตร์ ที่ ต.สนามชัย อ.เมือง จ.สุพรรณบุรีมาถึง 90 ล้านบาท<br />
<br />
นอกจากนั้น รัฐบาลยังได้ตั้งงบประมาณเพื่อใช้ในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินไว้อีก 68,700 ล้านบาทด้วย<br />
<br />
<b>อ่านเอาเรื่องกันตามสบายครับแล้วค่อยๆ คิดตามไปก็แล้วกัน เพราะนี่คือการใช้เงินของแผ่นดินไม่ใช่เงินรัฐบาล</b>chanin1222http://www.blogger.com/profile/00249325908672343913noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-572427674047273364.post-87760326773183665112011-08-09T23:39:00.001+07:002011-08-09T23:39:02.147+07:00เส้นทางสู่ศักดิ์ศรี<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj8nvyJaaUzS_WvW6-mN0xHDuFZssxLROtV_bw7lagSDhHf3Urxy8AvdgP2_MX-Mhwih1mXeWpZ2TOvhp9Lu4GFtyIvx9uQlR2vMIYyK1mSSpHGVthivz9NJ-mlumrUOhTlhFZGO5hs6jpV/s1600/mp02+.JPG" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="267" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj8nvyJaaUzS_WvW6-mN0xHDuFZssxLROtV_bw7lagSDhHf3Urxy8AvdgP2_MX-Mhwih1mXeWpZ2TOvhp9Lu4GFtyIvx9uQlR2vMIYyK1mSSpHGVthivz9NJ-mlumrUOhTlhFZGO5hs6jpV/s400/mp02+.JPG" width="400" /></a></div><br />
ในช่วงเวลาระหว่างที่รับราชการอยู่นั้นไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายเพียงประการเดียวเท่านั้น เพราะ<b>ความคิดยังคงเป็นสิทธิของเราโดยสมบูรณ์เป็นโลกส่วนตัวที่ไม่มีใครมาบงการได้</b> ดังนั้นความคิดที่ขัดแย้งกับบางคำสั่งที่ได้รับมาจึงเกิดขึ้นในบางโอกาส ซึ่งก็เป็นเพียงความคิดไม่ใช่การขัดแย้งด้วยการกระทำ ความคิดเราจึงมีเสรีภาพเต็มที่ทำให้มีโอกาสได้ใช้วิจารณญานของตนเองในการหาเหตุผลให้กับเรื่องที่ไร้เหตุผล หาคำตอบให้กับความอยุติธรรมหลากหลายที่เกิดขึ้นรอบตัว หาคำตอบให้กับความประพฤติผิดหลากหลายทั้งทางอาญา ทางวินัยและทางสังคม ที่ผู้กระทำผิดไม่ต้องได้รับโทษ หลายเรื่องที่มองเห็นก็ไม่สามารถหาคำตอบให้กับตัวเองได้ เพราะบางเรื่องนั้นจะมีผู้ตอบได้เพียงคนเดียวคือตัวของผู้ที่กระทำในเรื่องนั้นๆ และก็จะเป็นคำตอบที่ตรงกับความเป็นจริงได้เฉพาะในใจไม่ใช่หลุดรอดมาจากปากของบุคคลนั้้นอย่างเด็ดขาด<br />
<br />
คุณธรรม จริยธรรม และความซื่อสัตย์ ถูกลบออกจากหลักสูตรการศึกษาของประชาชนรุ่นหลังอย่างหมดเยื่อใยตามยุคสมัยที่มีแต่การแข่งขันในทุกเรื่อง แม้แต่เรื่องการศึกษาที่ต้องมีการสอบแข่งขันกันในทุกระดับ สังคมรอบด้านมีแต่การแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นการกีฬา การค้าขาย การดนตรี <b>ไม่เว้นแม้แต่สถานะของการยืนหยัดอยู่ในสังคม</b> ทุกการแข่งขันนั้นเกิดขึ้นมาจากการให้ความสำคัญกับเรื่องแข่งขันกับวิวัฒนาการทางสังคมของโลกโดยไม่เคยย้อนกลับไปมองถึงอดีตที่ผ่านมา แล้ววิเคราะห์หาเหตุผลของความแตกต่างของเรื่องราวที่มีอยู่ในปัจจุบัน ว่ามีอะไรขึ้นกับชีวิตของเราบ้าง ? การปลูกฝังจิตสำนึกในสิ่งดีงามที่เคยเริ่มต้นจากระดับครอบครัวถูกเพิกเฉยเลือนหายไปจากวัฒนธรรมไทยอันเนื่องมาจากการประกอบอาชีพแบบแข่งขันกันอย่างทุ่มเทของบุพการีทั้งคู่ โลกจึงมีแต่เสียงร่ำร้องระงมเมื่อมีผู้ก่อเรื่องวุ่นวายว่า <b>ลูกพ่อแม่ไม่สั่งสอน</b> แน่นอนว่าไม่เคยมีใครกล้าโต้แย้งความจริงในข้อนี้<br />
<br />
มีเอกสารมาให้อ่านเล่น เพราะไปเจอเรื่องเก่าๆ จากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นเรื่องเกี่ยวกับ <b>ยุทธศาสตร์เพื่อการแข่งขันของเศรษฐกิจไทย</b> <br />
<br />
".........<b>การปรับบทบาทของภาครัฐให้เอื้อต่อภาคเอกชน</b> การปรับตัวของประเทศไทยเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในเวทีโลกจะไม่สำ เร็จได้ด้วยดี ถ้าปราศจากการมีกลไกที่จะช่วยผลักดันให้เกิดการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม และสอดคล้องซึ่งกันและกัน รวมทั้ง สนับสนุนปัจจัยพื้นฐานที่เหมาะสมและเพียงพอ โดยเฉพาะกลไกของภาครัฐ ที่จะต้องมีการปรับรูปแบบและบทบาทไปพร้อมกัน ทั้งในระดับนโยบายและระดับปฏิบัติ<br />
<br />
<b>ระดับนโยบาย</b> คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2545 เห็นชอบให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (กพข.) และ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้ลงนามในคำสั่งแต่งตั้งแล้วเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2545 โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็น<br />
ประธาน องค์ประกอบของคณะกรรมการฯ ประกอบด้วย ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้แทนภาครัฐและเอกชน รวม 10 คน และเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ทำหน้าที่กรรมการและเลขานุการ คณะกรรมการชุดนี้ ทำหน้าที่ในการกำหนดกรอบนโยบายและแนวทางการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศทั้งในภาพรวมและรายสาขา กำกับดูแล และผลักดันการดำเนินงานให้เกิดผลเป็นรูปธรรมและเป็นไปตามกรอบทิศทางและยุทธศาสตร์การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ รวมทั้ง อนุมัติแผนงานและโครงการภายใต้หลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้<br />
<br />
<b>ระดับปฏิบัติ </b> กระทรวงที่เกี่ยวข้องจะปฏิรูปบทบาทของตนเพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การแข่งขันที่ได้กำหนดขึ้น และเพื่อตอบสนองต่อภาคธุรกิจให้สามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก ........."<br />
<br />
อ่านมาแล้วทั้ง 62 หน้าดูจะเป็นเอกสารทางวิชาการมากไปหน่อยอ่านไปนานๆ พาลเคลิ้มเอา แต่โดยสรุปแล้วก็คือ เชิญชวนชี้นำให้ประชาชนมุ่งไปหาเศรษฐกิจในระดับโลกทั้งๆ ที่่รัฐบาลเองก็น่าจะรู้ดีกว่าใครว่าจะมีประชาชนสักกี่คนที่จะพากันก้าวเดินขึ้นไปในระดับน้น เพราะทุกวันนี้กว่าจะหาเงินมาเป็นค่าข้าวแต่ละมื้อก็ยังยากเย็นเข็ญใจ หากสภาพัฒน์ฯ จะคิดโครงการหรือยุทธศาสตร์อะไรขึ้นมาก็น่าจะลืมตาตื่นจากความฝันเสียก่อนแล้วค่อยมาทำงานของตนอย่างจริงจัง หรืออย่างน้อยก็ควรจะเข็นสังคมให้ดีขึ้นเสียก่อนแล้วค่อยไปมองเรื่องเศรษฐกิจทีหลัง <br />
<br />
เหมือนกับที่คนโบราณเค้าว่าไว้ "เห็นช้างขี้ แล้วมาบอกให้ขี้กองโตเหมือนช้าง" (เอ...เค้าว่าไว้ยังงี้รึเปล่าไม่แน่ใจ ชักจะลืมๆ ไปซะแล้ว)chanin1222http://www.blogger.com/profile/00249325908672343913noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-572427674047273364.post-83270087919895366022011-06-26T11:55:00.001+07:002011-06-26T11:56:24.496+07:00มองมุมกว้างอย่างง่าย<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjX2ipt6qhuezGpum5e4g6i9_KrKnbh6iJSKFbeTZMS6IghcmRpSw9mUY7-qrnz7U-emwBsBUHyJVnXNem4zhTZXRiNXGiwFOJ4ONmNkJ4tRCZXVF5eCXX4PF9AAW3hf7URfmNu9S4rh83z/s1600/401.jpg" imageanchor="1" style="margin-left:1em; margin-right:1em"><img border="0" height="313" width="400" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjX2ipt6qhuezGpum5e4g6i9_KrKnbh6iJSKFbeTZMS6IghcmRpSw9mUY7-qrnz7U-emwBsBUHyJVnXNem4zhTZXRiNXGiwFOJ4ONmNkJ4tRCZXVF5eCXX4PF9AAW3hf7URfmNu9S4rh83z/s400/401.jpg" /></a></div><br />
ยังคงเหลือเวลาอีกไม่กี่วันก็จะถึงวันชี้ชะตาประเทศโดยมือของคนไทยเองว่าจะผลักดันแนวทางการบริหารประเทศให้เป็นไปในทิศทางใด และในวันนี้ (26 มิ.ย.54) ก็เป็นวันที่เปิดให้มีการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งนอกเขตตั้งแต่เวลา 08.00 - 15.00 น.เช่นเดียวกัน ซึ่งจำนวนยอดของผู้เข้าใช้สิทธิก็จะเป็นตัวชี้ให้รู้ถึงความคิดของผู้คนว่าคิดอย่างไรกับการเลือกตั้งครั้งนี้ เพราะหากจำนวนผู้เข้าใช้สิทธิต่ำกว่าที่คาดไว้มากก็เป็นตัวสรุปผลในวันที่ 3 ได้ทันทีว่าไม่น่าจะออกมาดีนัก และก็อาจสรุปได้ว่า ประชาชนบางส่วนยังคงสงวนสิทธิในความนิ่งอยู่ต่อไปโดยไม่สนใจใยดีต่อการเมืองที่วุ่นวายไม่รู้จบ<br />
<br />
ในขณะที่บรรยากาศการหาเสียงก็ดำเนินไปตามวิธีการที่เคยทำกันมาแต่โบราณ ทั้งกลั่นแกล้ง รบกวนการหาเสียง ข่มขู่ผู้สมัคร ทำร้ายผู้สมัคร ฆ่าตัดตอนหัวคะแนน ทำลายป้ายคู่แข่ง (คงจะต้องรวมไปถึงการกระทำกับของตนเองด้วยอันเป็นวิถีทางการหาเสียงนอกระบบ) แต่ในจำนวนความผิดร้ายแรงถึงชีวิตบางหนก็มีการมุ่งร้ายต่อชีวิตด้วยสาเหตุอื่นๆ อีกด้วยแต่อาศัยช่วงเวลาเลือกตั้งมาปฏิบัติการเพื่อหวังผลในการเบี่ยงเบนประเด็นการตายนั่นเอง ทั้งที่ผู้ตายก็เป็นคนที่ถูกจ้องสังหารโดยธรรมชาติอยู่ทุกวันอยู่แล้วจากธุรกิจหรือวีรกรรมที่มีมา<br />
<br />
ประชาชนส่วนมากมั่นใจว่าหลังการเลือกตั้งครั้งนี้สถานการณ์ทางการเมืองจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้นเลย นักการเมืองส่วนมากก็ยังคงทำทุกวิถีทางที่จะกอบโกยแสวงหาผลประโยชน์จากตำแหน่งหน้าที่ทางการเมือง ส่วนบรรดานักธุรกิจการเมืองก็ยังจะมุ่งหน้าขุดคุ้ยกอบโกยผลประโยชน์จากทรัพยากรของประเทศต่อไปให้คุ้มกับการลงทุนทางการเมือง<br />
<br />
สัญญาประชาคมทั้งหลายที่มีอยู่เป็นเพียงการนำเงินภาษีของประชาชนส่วนหนึ่งจากระดับกลางมาจ่ายให้กับระดับล่าง แต่ผู้ร่ำรวยทรัพย์สินและอำนาจก็จะะจับมือกับนักการเมืองเพื่อออกกฎหมายต่างๆ นาๆ ให้ยอกย้อนสับสนเพื่อหลีกเลี่ยงการสญเสียรายได้และกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ของพวกตน โดยผลักภาระในการใช้จ่ายไปให้กับงบประมาณแผ่นดิน เหมือนกับที่เคยเป็นมาในอดีต<br />
<br />
นี่คือประเทศไทยที่ต้องยอมรับความจริงข้อหนึ่งที่ว่า ประชาชนในระดับล่างๆ ไม่รับรู้ถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประเทศชาติจากการกระทำของนักการเมืองเพราะตนเองก็ได้รับส่วนแบ่งจากผลประโยชน์เหล่านั้นด้วยเช่นกันในรูปของสวัสดิการต่างๆ ตามนโยบายประชานิยมหลากหลายชนิด ประกอบกับได้รับโอกาสในการบริหารปกครองชุมชนของตนเองบ้างเป็นการยกระดับฐานะของผู้คนให้สูงขึ้นเฉพาะกิจ จนเกือบทุกคนมีคำนำหน้าชื่อด้วยตำแหน่งทางการเมืองท้องถิ่นมาใช้กันแบบถาวร แล้วก็เริ่มศึกษาวิธีการกอบโกยผลประโยชน์จากตำแหน่งหน้าที่กันเป็นล่ำเป็นสัน ขยายโอกาสทางการกอบโกยในระบบคอรัปชั่นให้เจริญก้าวหน้ากว้างไกลยิ่งขึ้น <br />
<br />
ประชาชนกลุ่มนี้จึงยึดมั่นในตัวบุคคลที่ร่ำรวยมหาศาลและมาเป็นผู้บริหารปกครองตน เนื่องจากคิดง่ายๆ ว่า <b>คนรวยย่อมไม่โกง</b> และมีแต่การแบ่งปันความร่ำรวยมาสู่พวกตนอย่างถ้วนทั่ว<br />
<br />
ตายไปแล้วสิบชาติ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะคิดออกรึยังเกี่ยวกับเรื่องนี้chanin1222http://www.blogger.com/profile/00249325908672343913noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-572427674047273364.post-41024745209254978612011-05-24T12:16:00.001+07:002011-06-17T14:20:51.015+07:00รู้จักพรรคประชาธิปัตย์<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiT7P8YpBZaSpLHjXKbVALFX36Qat8jJK0EOHHIhYX1E3EeHmR2cWbIJMZ4laa6HqaMrOvzHv1RYmIKaXi0_C7lj9hz-EmHieszpW4LcPO9L3sqNpJlsxh59Fa6rW9Yiih6owXSWYI93TW9/s1600/dp.png" imageanchor="1" style="margin-left:1em; margin-right:1em"><img border="0" height="325" width="326" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiT7P8YpBZaSpLHjXKbVALFX36Qat8jJK0EOHHIhYX1E3EeHmR2cWbIJMZ4laa6HqaMrOvzHv1RYmIKaXi0_C7lj9hz-EmHieszpW4LcPO9L3sqNpJlsxh59Fa6rW9Yiih6owXSWYI93TW9/s400/dp.png" /></a></div><br />
พรรคประชาธิปัตย์ (อังกฤษ: Democrat Party - DP, ย่อว่า: ปชป.) ก่อตั้งเมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2489 เป็นพรรคการเมืองจดทะเบียนที่เก่าแก่ที่สุดของไทยที่ยังดำเนินการอยู่[1] พรรคมีสมาชิกที่ได้แจ้งต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองไว้ จำนวนประมาณ 2,869,363 คน มีสาขาพรรคจำนวน 190 สาขา <br />
<br />
<b>สัญลักษณ์ของพรรค</b><br />
<br />
ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนที่สอง ได้บัญญัติชื่อ "พรรคประชาธิปัตย" โดยมีความหมายว่า "ผู้บำเพ็ญประชาธิปไตย" หรือ "ประชาชนผู้ถืออำนาจอธิปไตย" และมีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า Democrat Party โดยหมายจะให้เป็นพรรคของคนจน เช่นเดียวกับพรรคเดโมแครตของสหรัฐอเมริกา โดยก่อนหน้าที่จะใช้ชื่อ "ประชาธิปัตย์" ได้มีกลุ่มบุคคลพยายามจดทะเบียนชื่อพรรคก่อนหน้า ม.ร.ว.เสนีย์ แต่รวบรวมเสียงได้น้อยกว่า จึงจดทะเบียนไม่สำเร็จ[3] เนื่องจากในปีนั้น เพิ่งมีกฎหมายจดทะเบียนพรรคการเมืองอย่างเป็นทางการออกมาเป็นครั้งแรก โดยที่ก่อนหน้านั้น สถานภาพพรรคการเมืองในประเทศไทยยังไม่มีการจดทะเบียนอย่างเป็นทางการ เพียงแต่กฎหมายให้การรับรองไว้เท่านั้น<br />
สัญลักษณ์ของพรรคเป็นรูปพระแม่ธรณีบีบมวยผม มีฟ่อนข้าวประดับอยู่เป็นขอบ โดยมีความหมายว่า พระแม่ธรณีบีบมวยผม หมายถึง การเอาชนะมารหรือความชั่วร้ายต่าง ๆ ฟ่อนข้าว หมายถึง ความอุดมสมบูรณ์ โดยสัญลักษณ์ดังกล่าวมีที่มาจากการที่พรรคประชาธิปัตย์ได้จัดปราศรัยที่สนามหลวงแล้วฝนเกิดตกลงมา แต่ผู้ที่มาฟังไม่มีใครวิ่งหลบเลย ยังคงนั่งฟังกันต่อ จึงมีผู้ปรารภขึ้นมาว่า น่าจะใช้สัญลักษณ์เกี่ยวกับน้ำ ต่อมานายควงได้จัดรถช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วมที่ภาคเหนือ ที่ข้างรถตู้คันหนึ่งมีสัญลักษณ์รูปพระแม่ธรณีบีบมวยผมติดอยู่ จึงนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์พรรค<br />
สีประจำพรรค คือ สีฟ้า มีความหมายถึง อุดมการณ์อันบริสุทธิ์<br />
<br />
<b>ประวัติ</b><br />
<br />
นายควง อภัยวงศ์ ได้ก่อตั้งพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นเมื่อ 5 เมษายน พ.ศ. 2489 โดยการประชุมรวมตัวกันของนักการเมืองกลุ่มหนึ่งที่บริษัทของนายควง ที่ย่านเยาวราช แต่ทางพรรคถือเอาวันที่ 6 เมษายน เป็นวันก่อตั้งพรรค เพื่อให้ตรงกับวันจักรี มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นฝ่ายค้านคานอำนาจของ นายปรีดี พนมยงค์ ที่หลายฝ่ายในขณะนั้นมองว่าจะส่อเค้าเป็นเผด็จการ ต่อมานายปรีดีลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หลังถูกกดดันจากกรณีสวรรคต ร.8 และรัฐสภาลงคะแนนให้ พล.ร.ต.ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ผู้ใกล้ชิดนายปรีดี ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีสืบต่อ<br />
ในช่วงปี พ.ศ. 2489 ที่ประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้าน มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.ร.ต.ถวัลย์ ยาวนานถึง 7 วัน 7 คืนติดต่อกัน รวมถึงการหาเสียงในเดือนสิงหาคมด้วย ในระหว่างนี้พรรคประชาธิปัตย์ถูกเพ่งเล็งจากรัฐบาลโดยกล่าวหาว่าเป็นกบฏ มี ส.ส. ถูกติดตามและถูกลอบยิง และในการหาเสียงก็ถูกปาระเบิดด้วย ต่อมาเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 รัฐบาล พล.ร.ต.ถวัลย์ ถูกนายทหารฝ่ายจอมพล ป. ที่นำโดย พล.ท.ผิน ชุณหะวัณ ทำรัฐประหารยึดอำนาจ นายควงได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการ และมีการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นเมื่อวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2491 ผลการเลือกตั้งพรรคประชาธิปัตย์ได้คะแนนเสียงมากที่สุดจึงได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลครั้งแรก<br />
หลังจากนั้นพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลอีก 6 ครั้งจนถึงปัจจุบัน คือในปี พ.ศ. 2518, 2519 (2 ครั้ง) , 2535, 2540 และ 2551 ได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาล 4 ครั้ง และเป็นพรรคฝ่ายค้านอีกรวม 16 ครั้ง โดยเป็นพรรคที่ได้รับเสียงข้างมากในกรุงเทพมหานครทันที และครองจำนวนที่นั่งในกรุงเทพมหานครจนถึงปี พ.ศ. 2522 ทั้งนี้ ประชาธิปัตย์ยังเป็นพรรคแรกที่หาเสียงด้วยวิธีการปราศรัยด้วย โดยเริ่มใช้ตั้งแต่การเลือกตั้งในเดือนสิงหาคมปี พ.ศ. 2489 <br />
ในปี พ.ศ. 2550 พรรคประชาธิปัตย์ได้จัดทำ "โครงการยุทธศาสตร์ประเทศไทย" (Thailand Strategy Project หรือ TSP) ขึ้น โดยมี นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรค เป็นผู้รับผิดชอบโครงการ เพื่อรวบรวมข้อมูลทางวิชาการใน 19 ยุทธศาสตร์หลัก ใช้เป็นฐานข้อมูลในการพัฒนานโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ และจัดทำเป็นแผนยุทธศาสตร์ในการพัฒนาประเทศ รวมทั้งเพื่อแลกเปลี่ยนทรรศนะกับชุมชนวิชาการและประชาชนที่สนใจทั่วไป ผ่านทางเว็บไซต์ www.thailandstrategy.com และเอกสารเผยแพร่ของโครงการ<br />
ในปี พ.ศ. 2551 ภายหลังการจัดตั้งรัฐบาลของนายสมัคร สุนทรเวช ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ มีสถานะเป็น "พรรคฝ่ายค้านพรรคเดียว" เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และผู้นำฝ่ายค้าน ได้ประกาศจัดตั้ง คณะรัฐมนตรีเงา ขึ้นตรวจสอบการบริหารงานของรัฐบาลและนำเสนอแนวทางการบริหารประเทศ ควบคู่ไปกับการบริหารงานของรัฐบาล ตามรูปแบบรัฐบาลเงาในระบบเวสต์มินสเตอร์ของประเทศอังกฤษ ขึ้นเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 <br />
ต่อมามีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหลัง พรรคพลังประชาชน ถูกพิพากษายุบพรรคจาก คดียุบพรรคการเมือง พ.ศ. 2551 ทำให้ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เกิดการเปลี่ยนขั้วทางการเมืองทำให้พรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล โดยมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี คนที่ 27 ของประเทศไทย จาก การลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี ของสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2551<br />
<br />
<b>การเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2548</b><br />
<br />
พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่มีคะแนนเสียงอันดับสองในสภาผู้แทนราษฎร โดยมีจำนวนที่นั่ง 96 ที่นั่ง (จากทั้งหมด 500 ที่นั่ง) มีฐานเสียงใหญ่อยู่ที่ภาคใต้ ใน การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในไทย พ.ศ. 2548 พรรคประชาธิปัตย์ได้เสียงจากภาคใต้ถึง 52 ที่นั่งจาก 54 ที่นั่ง อย่างไรก็ตามพรรคไม่ได้รับการสนับสนุนมากนักในส่วนอื่น ๆ ของประเทศ (ยกเว้นในเขตกรุงเทพมหานคร ที่คะแนนเสียงแปรผันไปตามสถานการณ์ทางการเมืองแต่ละสมัย ในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2548 พรรคฯ ได้เสียงจากกรุงเทพเพียง 4 ที่นั่ง จาก 37 ที่นั่ง โดยที่พรรคคู่แข่งคือ พรรคไทยรักไทย ได้ถึง 32 ที่นั่ง) ลักษณะเช่นนี้เหมือนกับพรรคเสรีนิยมของสหราชอาณาจักรที่ผู้สนับสนุนอย่างเหนียวแน่นส่วนใหญ่จะอยู่ในแคว้นสก็อตแลนด์ คือเป็นลักษณะภูมิภาคนิยม ดังจะเห็นได้ชัดเจนจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่มีจำนวนที่นั่งในสภาผู้แทนสูงถึง 136 ที่นั่ง แต่พรรคได้รับเลือกเพียง 2 ที่นั่งเท่านั้น<br />
ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2548 พรรคประชาธิปัตย์ได้รับคะแนนเสียงสนับสนุน จากประชาชนทั่วประเทศ ในระบบบัญชีรายชื่อจำนวน 7,210,742 เสียง<br />
โดยการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2548 นั้น พรรคประชาธิปัตย์ได้ใช้แนวทางการหาเสียงว่า "เลือกให้ถึง 201 ที่นั่ง" และ "ทวงคืนประเทศไทย" อันเนื่องจากต้องการสัดส่วนที่นั่งในสภาฯให้ถึง 200 ที่ เพื่อที่ต้องการจะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีได้ตามรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2540 นั่นเอง<br />
<br />
<b>คณะกรรมการบริหารพรรคชุดปัจจุบัน</b><br />
<br />
เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 พรรคประชาธิปัตย์ได้จัดการประชุมใหญ่วิสามัญประจำปี เพื่อเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคใหม่ตามข้อบังคับพรรค โดยมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นประธานในการประชุม ซึ่งการเลือกครั้งนี้ได้ลดจำนวนคณะกรรมการบริหารจากเดิม 49 คน เหลือเพียง 19 คน โดยการเลือกตั้งได้เปิดโอกาสให้สมาชิกเสนอชื่อเข้าชิงตำแหน่งต่าง ๆ และให้มีการลงคะแนนลับ เพื่อให้ได้รับเสียงเกินกึ่งหนึ่งตามข้อบังคับพรรค ได้ผลการเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคดังนี้<br />
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้า<br />
นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ รองหัวหน้าพรรค<br />
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองหัวหน้าพรรค<br />
นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองหัวหน้าพรรค<br />
นายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรค กรุงเทพมหานคร<br />
นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รองหัวหน้าพรรค ภาคเหนือ<br />
นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ รองหัวหน้าพรรค ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ<br />
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รองหัวหน้าพรรค ภาคกลาง<br />
นายวิทยา แก้วภราดัย รองหัวหน้าพรรค ภาคใต้<br />
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรค<br />
นายชำนิ ศักดิเศรษฐ์ รองเลขาธิการพรรค<br />
นางศิริวรรณ ปราศจากศัตรู รองเลขาธิการพรรค<br />
นายธีระ สลักเพชร รองเลขาธิการพรรค<br />
นางอัญชลี วานิช เทพบุตร เหรัญญิกพรรค<br />
นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรค<br />
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์<br />
นาย บุญยอด สุขถิ่นไทย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์<br />
นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ นายทะเบียนสมาชิกพรรค<br />
นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย กรรมการบริหารพรรค<br />
นายสาธิต ปิตุเตชะ กรรมการบริหารพรรค<br />
นายวิรัช ร่มเย็น กรรมการบริหารพรรค<br />
<b>กรรมการสำรอง</b><br />
นายนราพัฒน์ แก้วทอง<br />
<br />
ข้อมูลจาก http://th.wikipedia.org/wiki/<br />
<br />
<hr /><br />
<b>นโยบายพรรค</b><br />
<br />
<u>ครอบครัวต้องเดินหน้า</u><br />
1. ไฟฟ้าฟรีถาวร สำหรับผู้ใช้ไม่เกิน 90 หน่วยต่อเดือน<br />
2. จัดการปัญหายาเสพติดอย่างเด็ดขาด จัดตั้งกองกำลังพิเศษ 2,500 นาย<br />
3. มอบเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) ทุกคนทุกเดือน<br />
4. โครงการบ้านมั่นคง (ซ่อมแซม จัดสาธารณูปโภค และสร้างบ้านใหม่)ของชุมชนแออัดในเมือง และหมู่บ้านทั่วประเทศ<br />
5. บัตรประชาชนใบเดียว รักษาฟรีอย่างมีคุณภาพ<br />
6. เพิ่มเงินทุนกู้ยืมดอกเบี้ยต่ำเพื่อการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย 250,000 คน<br />
7. พัฒนาศูนย์เด็กเล็กคุณภาพในทุกพื้นที่<br />
<br />
<u>เศรษฐกิจต้องเดินหน้า</u><br />
1.เพิ่มเงินกำไรอีกร้อยละ 25 จากโครงการประกันรายได้เกษตรกร (ชาวนา ชาวไร่ข้าวโพด ชาวมันสำปะหลัง)<br />
2.ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำร้อยละ 25 ในเวลา 2 ปี พร้อมพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน<br />
3.จัดโฉนดชุมชนให้เกษตรกรมีที่ทำกินอีก 250,000 คน บนที่ดินของรัฐ<br />
4. ปรับโครงสร้างหนี้นอกระบบ เพื่อลดภาระดอกเบี้ย และสร้างโอกาสใหม่แก่ชีวิตของประชาชนให้ครบ 1 ล้านคน<br />
5.ขยายประกันสังคมสำหรับเกษตรกรและแรงงานนอกระบบให้ครอบคลุม 25 ล้านคน เพื่อรับเงินชดเชยรายได้เมื่อเจ็บป่วย ทุพพลภาพ เสียชีวิต และบำเหน็จชราภาพ<br />
6.จัดให้มีบำนาญประชาชนหลังอายุ 60 ปี โดยรัฐร่วมสมทบในกองทุนการออมแห่งชาติ<br />
7.พัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์เพื่อสร้างสินค้าและบริการ บนพื้นฐานวัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทยที่เชื่อมโยงกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ ด้วยงบประมาณ 20,000 ล้านบาท<br />
<br />
<u>ประเทศต้องเดินหน้า</u><br />
1.รถไฟความเร็วสูง ไทย-จีน เชื่อมคุณหมิง ภาคอีสานสู่ภาคใต้เชื่อมต่อไปยังมาเลเซียเพื่อพัฒนาการค้าการลงทุน และการท่องเที่ยว<br />
2.สร้างแหลมฉบังให้เป็นเมืองท่าสมบูรณ์แบบ (Harbor City) พร้อมรถไฟความเร็วสูง เชื่อมกรุงเทพ แหลมฉบังและระยอง และเครือข่ายโลจิสติก ด้วยเงินลงทุนกว่า 100,000 ล้านบาท<br />
3.พลิกโฉมเมืองท่องเที่ยวตลอดชายฝั่งทะเลภาคใต้ และแหล่งท่องเที่ยวทั่วประเทศ เพื่อให้ประเทศไทยเป็น “มนตร์เสน่ห์แห่งเอเชีย” (The Rhythm of Asia) ด้วยเงินลงทุน 10,000 ล้านบาทต่อปี<br />
4.ขยายบรอดแบนด์แห่งชาติ 3G อินเตอร์เน็ทชุมชน สู่ทุกตำบลทั่วประเทศ ภายใน 4 ปี<br />
5.สร้างเขตเศรษฐกิจเกษตรพิเศษ เพื่อจัดระบบการผลิต การแปรรูป และการตลาดสินค้าเกษตรที่มีมาตรฐานคุณภาพ และมูลค่าสูง<br />
6.เดินหน้าต่อในการบริหารจัดการแหล่งน้ำทั่วประเทศ ขยายพื้นที่ชลประทาน เพิ่มปริมาณน้ำ อุตสาหกรรม และขยายประปาชุมชน<br />
7.เร่งจัดหาพลังงานทดแทน เพิ่มขึ้น 1 เท่าตัวจาก พืชพลังงาน ลม แสงอาทิตย์ ชีวภาพ และขยะ<br />
<br />
<u>กรุงเทพต้องเดินหน้า</u><br />
1.เพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย<br />
2.กวาดล้างยาเสพติด<br />
3.ครอบครัวมั่นคง<br />
4.เดินทางสะดวก<br />
<br />
<u>เมืองไทย มนต์เสน่ห์แห่งเอเซีย</u><br />
1.ทุ่มงบประมาณ 10,000 ล้านบาท/ปี พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวทั่วประเทศให้สมบูรณ์ ด้วยสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐานกว่า 60 จังหวัด<br />
2.รอยยิ้มไทย เชื่อมท่องเที่ยวโลก : อบรมบุคลากร-ผู้ประกอบการท่องเที่ยวกว่า 150,000 คน เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างมืออาชีพ ด้วยงบประมาณกว่า 1,000 ล้านบาท/ปี<br />
3.คุณภาพนักท่องเที่ยว เพิ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มคุณภาพให้มากขึ้น เช่น กลุ่มนิเวศน์ กลุ่มประชุม กลุ่มกีฬา กลุ่มสุขภาพ กลุ่มวัฒนธรรม / ประวัติศาสตร์<br />
4.เสน่ห์ไทยเที่ยวเท่าไรไม่มีวันหมด<br />
กลุ่มมหัศจรรย์สองสมุทร : <br />
พัฒนาแหล่งท่องเที่ยว 2 ฝั่ง อันดามัน-อ่าวไทย พร้อมสิ่งรองรับระดับมาตรฐานโลก เปิดประตูท่องเที่ยวไทยเชื่อมโลก<br />
กลุ่มอารยธรรมอีสาน - ลุ่มน้ำโขง :<br />
พัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวสายอารยธรรมที่เชื่อมต่อวิถีชีวิตลุ่มน้ำโขงอย่างรังสรร<br />
กลุ่มอารยธรรมล้านนา :<br />
พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวอุทยานเชื่อมระเบียงเศรษฐกิจ อาเซียน พม่า-จีน<br />
กลุ่มวิถีลุ่มน้ำเจ้าพระยา :<br />
สืบสานและพัฒนาวิถีไทยให้โดดเด่น “เมืองอู่ข้าวอู่น้ำ”ที่ร่มเย็นเชื่อมต่อมรดกโลกอยุธยา<br />
กลุ่มท่องเที่ยวชายฝั่งตะวันออก :<br />
ยกระดับมาตรฐานสาธารณูปโภค แหล่งท่องเที่ยวสู่สากล การให้บริการด้วยกิจกรรมการท่องเที่ยวที่หลากหลาย เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวคุณภาพ<br />
<br />
<u>รถไฟความเร็วสูง ไทย-จีน อีสานจรดใต้</u><br />
1. เดินทางสะดวกสบายและปลอดภัย ลดเวลาเดินทางกว่าครึ่ง เลิกทนกับความแออัด ล่าช้า เลิกเสี่ยงกับอุบัติเหตุ โดยเฉพาะช่วงเทศกาล<br />
2. สร้างรายได้ กระจายความเจริญสู่ท้องถิ่น เพิ่มการจ้างงานที่ต่อเนื่องกับการลงทุนก่อสร้าง นำสินค้าเกษตรไทยสดใหม่ สู่ตลาดจีน แหลมฉบัง มาเลเซีย สิงคโปร์ได้รวดเร็ว เปิดตลาดใหม่ ให้ธุรกิจและSME ค้าขายสะดวกขึ้น ส่งเสริมการท่องเที่ยว เพิ่มมูลค่าทรัพย์สิน และที่ดินตลอดเส้นทาง<br />
3. สร้างความเข้มแข็ง เพิ่มขีดความสามารถให้เศรษฐกิจไทย สร้างความได้เปรียบให้ไทย จากการเป็นศูนย์กลางอาเซียน เพิ่มประสิทธิภาพการขนส่ง ลดต้นทุน ลดเวลา ลดพลังงาน ลดมลภาวะ<br />
<br />
<u>เมืองท่าแหลมฉบัง</u><br />
1.เพิ่มขีดความสามารถแข่งขันของเศรษฐกิจไทยเป็น ASEAN GATEWAY นำไทยเข้าสู่ระบบการค้าเสรี ประชาคมอาเซียน และการแข่งขันสากล ลดต้นทุนการขนส่ง/โลจิสติกส์ สร้างโอกาสใหม่ๆให้ SME และแรงงานไทย<br />
2.พัฒนา ภาคตะวันออก ของประเทศอย่างยั่งยืน สร้างแหลมฉบังเป็นเมืองท่าสมบูรณ์แบบ ( Harbour City ) พลิกโฉม มาบตาพุด เป็นเมืองอุตสาหกรรมสะอาด ( Eco-Town ) พัฒนาศักยภาพเมืองพัทยา เป็นศูนย์บริการครบวงจรรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจภาคตะวันออก<br />
พร้อมรับนักท่องเที่ยวที่เพิ่มจากอู่ตะเภา และรถไฟความเร็วสูง<br />
3.ลงทุน 100,000 ล้านบาท สร้างเมืองท่าสมบูรณ์แบบ ปฏิรูปผังเมืองและจัดสภาพแวดล้อมเมืองแหลมฉบังให้สะอาด ครบครัน ด้วยสาธารณูปโภค โรงเรียน โรงพยาบาล รถประจำทาง ระบบน้ำประปา ศูนย์การค้า สันทนาการ และที่อยู่อาศัยเป็นสัดส่วน ปรับโครงข่ายเชื่อมโยงการขนส่งและระบบโลจิสติกส์ ทั้งถนน รถไฟรางคู่ เชื่อมโยงรถไฟไทย-จีน เพิ่มศูนย์บรรจุและคัดแยกสินค้า ( ICD ) เพิ่มศักยภาพท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบังให้เป็นท่าเรือที่ใหญ่และทันสมัยระดับ มาตรฐานโลก ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยบริหารร่วมกับเอกชน<br />
4.ยกมาตรฐานการเดินทางสู่ภาคตะวันออก สร้างรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ-ระยอง โดยเชื่อมต่อจาก สุวรรณภูมิ และขั้นต่อไป ขยายสู่จันทบุรี-ตราด ( เอกชนลงทุน ) ปรับปรุงเสริมประสิทธิภาพสนามบินนานาชาติ อู่ตะเภา<br />
<br />
ข้อมูลจาก http://campaign.democrat.or.th/policy<br />
<br />
<hr /><br />
<br />
<b>รายชื่อผู้สมัคร ส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อ ของพรรคประชาธิปัตย์ </b><br />
<br />
1.นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ<br />
2.นายชวน หลีกภัย<br />
3.นายบัญญัติ บรรทัดฐาน<br />
4.นายเทอดพงษ์ ไชยนันทน์<br />
5.นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์<br />
6.นายกรณ์ จาติกวณิช<br />
7. คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช<br />
8.นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน<br />
9.นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี<br />
10.นายชำนิ ศักดิเศรษฐ์<br />
<br />
11.นายไพฑูรย์ แก้วทอง<br />
12.นายอิสสระ สมชัย<br />
13.นายเจริญ คันธวงศ์<br />
14.นายอลงกรณ์ พลบุตร<br />
15.นายอาคม เอ่งฉ้วน<br />
16.นายนิพนธ์ วิสิษฐยุทธศาสตร์<br />
17.นายสุทัศน์ เงินหมื่น<br />
18.นายองอาจ คล้ามไพบูลย์<br />
19.นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค<br />
20.นายวิฑูรย์ นามบุตร<br />
<br />
21.นายถวิล ไพรสณฑ์<br />
22.นางศิริวรรณ ปราศจากศัตรู<br />
23.พ.อ.วินัย สมพงษ์<br />
24.นายสุวโรช พะลัง<br />
25.ดร.ผุสดี ตามไท<br />
26.นายปัญญวัฒน์ บุญมี<br />
27.ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์<br />
28.นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์<br />
29.นายภุชงค์ รุ่งโรจน์<br />
30.นายนิพนธ์ บุญญามณี<br />
<br />
31.นางอานิก อัมระนันทน์<br />
32.นายโกวิทย์ ธารณา<br />
33.นายอัศวิน วิภูศิริ<br />
34.นายธรรมวิชญ์ โพธิพิพิธ<br />
35.นายเกียรติ สิทธิอมร<br />
36.นายบุญยอด สุขถิ่นไทย<br />
37.ดร.กนก วงศ์ตระหง่าน<br />
38.พล.อ.พิชาญเมธ ม่วงมณี<br />
39.นายสุกิจ ก้องธรนินทร์<br />
40. ดร.ประกอบ จิรกิติ<br />
<br />
41.ผศ.ดร.พีรยศ ราฮิมมูลา<br />
42.นายกษิต ภิรมย์<br />
43.ดร.วีระชัย วีระเมธีกุล<br />
44.นางรัชฎาภรณ์ แก้วสนิท<br />
45.นายวัชระ เพชรทอง<br />
46.นายจุฤทธิ์ ลักษณวิศิษฏ์<br />
47.นายอิสรา สุนทรวัฒน์<br />
48.นายสัมพันธ์ ทองสมัคร<br />
49.นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต<br />
50.นายไชยวัฒน์ ไตรยสุนันท์<br />
<br />
51.ดร.มณทิพย์ ศรีรัตนา<br />
52.น.ส.เฉลิมลักษณ์ เก็บทรัพย์<br />
53.นายดนัย นพสุวรรณวงศ์<br />
54.ดร.ธิติ มหบุญพาชัย<br />
55.นายเฉลียว อยู่สีมารักษ์<br />
56.นายสุรสิทธิ์ ตรีทอง<br />
57.นายยุพ นานา<br />
58.นายสะพรั่ง สุขขเวชชวรกิจ<br />
59.นายสัญชัย อินทรสูต<br />
60. นพ.บรรพต ต้นธีรวงศ์<br />
<br />
61.นายบุณย์ธีร์ พานิชประไพ<br />
62. ผศ.ดร.สืบแสง พรหมบุญ<br />
63.ว่าที่ ร.ต.โมฮามัดยาสรี ยูซง<br />
64.นายอภชัย เดชะอุบล<br />
65.ดร.วีระชัย ถาวรทนต์<br />
66.นายอภินันท์ ช่วยบำรุง<br />
67.นายประกอบ สังข์โต<br />
68.นายเกรียงยศ สุดลาภา<br />
69.นายสุริยะ ศึกษากิจ<br />
70.พล.ร.อ.นาวี ศานติกะนาวิน<br />
<br />
71.นายชีวเวช เวชชาชีวะ<br />
72.นายธัชพงศ์ ธรรมพุฒิพงศ์<br />
73.ดร.ธราดล เปี่ยมพงศ์สานต์<br />
74.นายพรพล เอกอรรถพร<br />
75.นายฮูวัยดีย๊ะ พิศสุวรรณ<br />
76.นายสุรัตน์ เมฆะวรากุล <br />
77.นายคำรณ ณ ลำพูน<br />
78.นายวัชรินทร์ เกตะวันดี<br />
79.นายจีรพงศ์ พวงทอง<br />
80.นายราเมศ รัตนะเชวง<br />
<br />
81.นางรักษ์หฤทัย ยกสุฤทัยไขข่าว<br />
82.นายวรเทพ สุวัฒนพิมพ์<br />
83.พ.อ.เพื่องวิชช์ อนิรุทธเทวา<br />
84.นายภูเบศ จันทนิมิ<br />
85.นายแสนคม อนามพงษ์<br />
86.นายสุธรรม นทีทอง<br />
87.นายสรวิศ ขุนจันทร์<br />
88.นายภูมิสรรค์ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา<br />
89.นายพิเชษฐ ฤกษ์ปรีชา<br />
90.นายสุธี กรกมลพฤกษ์<br />
<br />
91.นายสกลภัทร เหมือนจันทร์เชย<br />
92.นายสุธรรม ลิ้มสุวรรณเกษม<br />
93.พล.ร.ท.เชษฐ โกมลฐิติ<br />
94.นายประจักษ์ชัย ณ สงขลา<br />
95.นายสกล เขมะพรรค<br />
96.นายสำเร็จ ภูนิคม<br />
97.น.ส.จันทรพร ขันโมลี<br />
98.นายสมเกียรติ ฉันทวานิช<br />
99.นางเตือนใจ นูอุปละ<br />
100.นายจารุพงศ์ สมอารยพงศ์<br />
<br />
101.นายภราดร กลางบุรัมย์<br />
102.นายสุทัศน์ พรหมรัตน์<br />
103.นายประสงค์ สุภาสัย<br />
104.นายภณวัชร์นันท์ ไกรมาตย์<br />
105.นายพลวัฒน์ เล็กสมบูรณ์ไทย<br />
106.นายปราโมทย์คริษฐ ธรรมคุณากร<br />
107.นายมงคลลัตถ์ พุกะนัดด์<br />
108.นายธวัช มนูธรรมธร<br />
109.นายกษิเดช กุลจิตติพร<br />
110.นายขกัช นิมมานเหมินท์<br />
<br />
111.นพ.วัชระ สนธิชัย<br />
112.นายรัฐไกร เอกเพชร<br />
113.นายเอกมล อนันตกูล<br />
114.นายวิศิษฎ์ ประทุมสุวรรณ<br />
115.พล.อ.ณรงค์ มหาคุณ<br />
116.นายชุบ ชัยฤทธิไชย<br />
117.นายมาร์โค เจริญใจ<br />
118.นายครูนิตย์ ปิงเมือง<br />
119.พ.ต.ท.วิชิต ศรีไชยวาน<br />
120.ดร.จักรพันธ์ พรนิมิตร<br />
<br />
121.น.ส.ปานระพี ปรีปุณณะชัย<br />
122.นางจันทร์เพ็ญ ปรีปุณณะชัย<br />
123.นายฐิติพงศ์ ภูมิโยธา<br />
124.นางนิภา พริ้งศุลกะ<br />
125.นายลาภศักดิ์ ลาภาโรจน์กิจ<br />
<br />
<hr /><br />
วิจารณญาณของท่านมีส่วนร่วมในทางการเมือง และเป็นตัวชี้นำแนวทางที่ต้องการให้ประเทศก้าวต่อไป โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อการพัฒนาคน พัฒนาสังคมและพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน สามารถทำให้เห็นผลได้จริง ตามวิถีทางของประชาธิปไตยที่แท้จริง<br />
<br />
ไม่ใช่ด้วยระบอบเผด็จการทหาร<br />
ไม่ใช่ด้วยระบอบเผด็จการรัฐสภา<br />
ไม่ใช่ด้วยระบอบทุนนิยม<br />
ไม่ใช่ด้วยตัณหา ความอยากได้ไม่รู้จบในผลประโยชน์ของประเทศชาติ<br />
ไม่ใช่ด้วยความอยากจะเอาชนะเพราะลุ่มหลงในตัวเอง ว่าเก่งเกินคนทั้งประเทศ<br />
<br />
<b>เพราะถ้าประเทศชาติมีแต่คนเก่งอย่างนี้ ก็อย่ามีประเทศเสียเลยจะดีกว่า </b>chanin1222http://www.blogger.com/profile/00249325908672343913noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-572427674047273364.post-85890232920924018832011-05-23T22:37:00.005+07:002011-06-17T14:21:16.372+07:00รู้จักพรรคเพื่อไทย<b><a href="http://www.ptp.or.th/yingluk.htm" target="_blank">พรรคเพื่อไทย</a></b><br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhIEj2AsiafTIkjDByt_XsO-rKolrXSEwmfKgwIEubSc4HmTMzfjyYyaarwhXyjt9et2PxFOkPltXonI9CG76Zt6Yp3bDxskpHXpr9_yBVyty0GLqgv_gn1jGgLbGBUL7EruIDYHq7sSRsh/s1600/pt.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="175" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhIEj2AsiafTIkjDByt_XsO-rKolrXSEwmfKgwIEubSc4HmTMzfjyYyaarwhXyjt9et2PxFOkPltXonI9CG76Zt6Yp3bDxskpHXpr9_yBVyty0GLqgv_gn1jGgLbGBUL7EruIDYHq7sSRsh/s400/pt.jpg" width="287" /></a></div><br />
พรรคเพื่อไทย (ย่อว่า: พท.) จดทะเบียนจัดตั้ง เมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2550 โดยมี นายบัณจงศักดิ์ วงศ์รัตนวรรณ เป็นหัวหน้าพรรคคนแรก และ นายโอฬาร กิจเลิศไพโรจน์ เป็นเลขาธิการพรรคคนแรก<br />
สำนักงานใหญ่ของพรรค ตั้งอยู่ที่ 1770 อาคารไอเอฟซีที ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร รหัสไปรษณีย์ 10310 ซึ่งเป็นที่ทำการเดิมของพรรคไทยรักไทย และพรรคพลังประชาชน (ย้ายมาจากอาคารนวสร ถนนพระรามที่ 3 แขวงบางคอแหลม เขตบางคอแหลม กรุงเทพมหานคร และ 626 อาคาร บีบีดี บิลดิง ซอยจินดาถวิล ถนนพระรามที่ 4 แขวงมหาพฤฒาราม เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร 10500) และสำนักงานสาขาพรรคแห่งแรก ตั้งอยู่ที่จังหวัดพิจิตร ซึ่งเป็นสาขาพรรคพลังประชาชนเดิม<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiPo8Sivn6NT7uqbmr7Hu_-Gh-qKzYM71IbpL6UKEfAdcTLhpjlTuOfyvNBHsaohNm6FplKWtfwj0bWe54ktO1nFbnRqwZTnGVxinqUfjT9hAEnvB6BxeHyW1_r3_-D_XvZVq4LsGcQ7PuC/s1600/PTP_LOGO.jpg" imageanchor="1" style="margin-left:1em; margin-right:1em"><img border="0" height="171" width="180" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiPo8Sivn6NT7uqbmr7Hu_-Gh-qKzYM71IbpL6UKEfAdcTLhpjlTuOfyvNBHsaohNm6FplKWtfwj0bWe54ktO1nFbnRqwZTnGVxinqUfjT9hAEnvB6BxeHyW1_r3_-D_XvZVq4LsGcQ7PuC/s400/PTP_LOGO.jpg" /></a><br />
สัญญลักษณ์เดิมขของพรรค</div><br />
<b>สัญลักษณ์ของพรรค</b><br />
<br />
เครื่องหมายพรรคมีคำอธิบายว่า "การรู้รักสามัคคีและรวมกันเป็นพลังอันหนึ่งอันเดียวกันของคนในชาติ" ขณะที่ภาพเครื่องหมายพรรค ภายใต้รูปสัญลักษณ์เป็นตัวอักษรไทย "พ" สีขาวบนพื้นสีน้ำเงินกับแดง ล้อมด้วยกรอบสี่เหลี่ยมเส้นสีน้ำเงินและแดง โดยตัว "พ" สีขาว หมายถึง การรู้รักสามัคคีและรวมกันเป็นพลังอันหนึ่งอันเดียวกันของคนในชาติ สีน้ำเงินกับสีแดง (พื้น) หมายถึง ความมุ่งมั่นรวมเอาคนไทยจากทุกภาคส่วนมาระดมสติปัญญา <br />
การออกแบบสัญลักษณ์พรรคเพื่อไทยแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อย่างชัดเจนกับสัญลักษณ์ของพรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชน ด้วยการใช้สีของธงไตรรงค์ และอักษร "พ" ที่คล้ายกับสัญลักษณ์พรรคพลังประชาชน และอักษร "ท" ในสัญลักษณ์พรรคไทยรักไทย ทั้งนี้เพื่อสื่อสารให้กับผู้ชมทราบว่าพรรคเพื่อไทยเป็นการสืบทอดเจตนารมณ์ของพรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชน<br />
<br />
<b>ยุค ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช เป็นหัวหน้าพรรค</b><br />
<br />
ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคนัดพิเศษ เมื่อวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2551 มีมติให้ ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช เป็นหัวหน้าพรรค นางสาวสุณีย์ เหลืองวิจิตร เป็นเลขาธิการพรรค นายศักดา นพสิทธิ์ เป็นโฆษกพรรค และ นายนิรันดร์ นาเมืองรักษ์ เป็นผู้อำนวยการพรรค<br />
ต่อมา เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน ปีเดียวกัน ดร.สุชาติได้ลาออกจากการเป็นหัวหน้าพรรค โดยให้เหตุผลว่า ขณะนี้ บุคคลที่มีประสบการณ์ทางการเมืองจำนวนมาก ได้เข้ามาสมัครเป็นสมาชิกพรรค ตนจึงต้องการเปิดโอกาสให้ผู้ที่เหมาะสม เข้ารับตำแหน่งต่อไป นอกจากนี้ ตนก็ยังเป็นสมาชิกพรรคอยู่ ส่วนจะรับตำแหน่งอื่นภายในพรรคหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเพื่อนสมาชิก<br />
อดีตสมาชิกพรรคพลังประชาชนเข้าร่วมพรรค<br />
<br />
หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ยุบพรรคพลังประชาชน เมื่อวันที่ 2 ธันวาคมแล้ว ส.ส.และสมาชิกพรรคเกือบทั้งหมดได้ย้ายเข้าสังกัดพรรคเพื่อไทย ยกเว้นกลุ่มเพื่อนเนวิน ซึ่งภายหลังย้ายไปสังกัดพรรคภูมิใจไทย โดยในการยุบพรรคการเมืองครั้งนี้ได้ส่งผลให้ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยปริยาย<br />
<br />
<b>ยุคนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ เป็นหัวหน้าพรรค</b><br />
<br />
จากนั้น เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม มีการประชุมใหญ่วิสามัญ ครั้งที่ 4/2551 ของพรรคขึ้น ที่อาคารที่ทำการพรรค โดยมีวาระสำคัญคือ การลงมติเลือกหัวหน้าพรรค และคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ โดยในส่วนหัวหน้าพรรค มีการเสนอชื่อ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รักษาการรองหัวหน้าพรรค เพียงรายชื่อเดียว นายยงยุทธจึงได้รับตำแหน่งหัวหน้าพรรคไปอย่างไม่มีคู่แข่ง ส่วนนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ได้รับการคาดหมายว่าจะขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่นั้น ที่ประชุมมีมติให้ดำรงตำแหน่ง กรรมการคัดเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรค<br />
<br />
<b>คณะกรรมการบริหารพรรค</b><br />
<br />
ชุดที่ 4 (15 กันยายน พ.ศ. 2553 - ปัจจุบัน)<br />
<br />
1 ยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรค<br />
2 พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รองหัวหน้าพรรค<br />
3 ปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรค<br />
4 ประยุทธ์ ศิริพาณิชย์ รองหัวหน้าพรรค (ลาออก เม.ย. 2554)<br />
5 กิติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์ รองหัวหน้าพรรค (ลาออก เม.ย. 2554)<br />
6 พล.ท.มะ โพธิ์งาม รองหัวหน้าพรรค<br />
7 วิชาญ มีนชัยนันท์ รองหัวหน้าพรรค (ลาออก เม.ย. 2554)<br />
8 สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองหัวหน้าพรรค (ลาออก เม.ย. 2554)<br />
9 ทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รองหัวหน้าพรรค (ลาออก เม.ย. 2554)<br />
10 วิทยา บุรณศิริ รองหัวหน้าพรรค (ลาออก เม.ย. 2554)<br />
11 สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ รองหัวหน้าพรรค (ลาออก เม.ย. 2554)<br />
12 พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ รองหัวหน้าพรรค (ลาออก เม.ย. 2554)<br />
13 จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รองหัวหน้าพรรค<br />
14 คณวัฒน์ วศินสังวร รองหัวหน้าพรรค (ลาออก เม.ย. 2554)<br />
15 พงศกร อรรณนพพร รองหัวหน้าพรรค (ลาออก เม.ย. 2554)<br />
16 สุพล ฟองงาม เลขาธิการพรรค (ลาออก เม.ย. 2554)<br />
17 ชวลิต วิชยสุทธิ์ รองเลขาธิการพรรค (ลาออก เม.ย. 2554)<br />
18 ทวีศักดิ์ อนรรฆพันธ์ เหรัญญิกพรรค (ลาออก เม.ย. 2554)<br />
19 พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรค<br />
20 วัฒนา เตียงกูล นายทะเบียนพรรค (ลาออก เม.ย. 2554)<br />
21 วรวีร์ มะกูดี กรรมการบริหารพรรค<br />
<br />
ข้อมูลจาก http://th.wikipedia.org/wiki/<br />
<br />
<hr /><br />
<b>นโยบายหลักของพรรค</b><br />
<br />
ประเทศไทยของเราในวันนี้ กำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์อย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อน ดังที่ปรากฏอยู่นั้น ไม่ว่าจะเป็นทางด้านการเมืองการปกครอง ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม ด้านวัฒนธรรม หรือสิ่งแวดล้อม ทำให้ประเทศไม่พัฒนาไปในแนวทางที่ควรจะเป็น ดังนั้นในวันนี้ประเทศไทยของเรา ต้องได้รับการฟื้นฟูดูแลอย่างทุ่มเทเอาใจใส่ ในการแก้ปัญหาและพัฒนาประเทศอย่างเร่งด่วน โดยการเร่งปฏิรูปในทุกด้าน ด้วยแนวคิดและนโยบายที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลแห่งความเป็นจริง ด้วยความรอบรู้ และด้วยสติปัญญา ที่มีความเข้าใจในปัญหาต่างๆ อย่างแท้จริง พรรคเพื่อไทยจึงรับอาสาพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน เข้ามาแก้ไขวิกฤตการณ์ และฟื้นฟูประเทศ ด้วยแนวนโยบายของพรรคที่เน้นความสำคัญในประเด็นต่อไปนี้ <br />
<br />
<b>แนวคิดใหม่</b> ปรับแนวคิดใหม่ทั้งในด้านเป้าหมาย กระบวนการ และวิธีการในการพัฒนาประเทศ เน้นการบริหารเชิงกลยุทธ์ในระดับชาติ โดยใช้สติปัญญาและความรู้ที่สั่งสมมายาวนานอย่างต่อเนื่อง ร่วมกับวิสัยทัศน์ที่มองโลกจากความเป็นจริงเป็นพื้นฐาน เพื่อปรับเปลี่ยนองคาพยพทุกส่วนในสังคม ให้ก้าวหน้าไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองอย่างสมดุลและยั่งยืน <br />
<br />
<b>ปรับเปลี่ยนการบริหาร</b> ปรับเปลี่ยนโครงสร้างและกลไกการทำงานของภาครัฐ ให้เกิดประสิทธิภาพ ปรับปรุงทัศนคติ วิธีคิด และวิธีปฏิบัติงานของข้าราชการ รวมทั้งเปลี่ยนแปลงบทบาทของภาครัฐ จากการควบคุมมาเป็นการสนับสนุน และเอื้ออำนวยความสะดวกแก่ภาคเอกชน ให้มีศักยภาพในการแข่งขันกับนานาประเทศ และเป็นประโยชน์ต่อภาคประชาชนในด้านบริการสาธารณะ รวมทั้งส่งเสริมพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมเป็นการส่วนรวม เน้นการพัฒนาและปฏิรูปการเมืองอย่างต่อเนื่อง <br />
<br />
<b>ปฏิรูปภาคเอกชน</b> ส่งเสริมให้เกิดการปฏิรูปกิจการในภาคเอกชน เพื่อเพิ่มศักยภาพทางด้านการผลิต ทั้งในส่วนของเกษตรกรรม อุตสาหกรรม การเกษตรพาณิชยกรรม และการให้บริการ โดยส่งเสริมให้ภาคเอกชนมีความเข้มแข็ง มีประสิทธิภาพสูง และมีประสิทธิผลอย่างแท้จริง ครอบคลุมกิจการธุรกิจทั้งขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ ให้เกิดคุณภาพในระดับมาตรฐาน ที่จะแข่งขันในกรอบของการค้าเสรีที่เป็นธรรม อันจะนำไปสู่การกระจายความมั่งคั่งในส่วนต่างๆ โดยประสานพลังภาคเอกชนกับภาครัฐภายใต้ยุทธศาสตร์ที่ถูกต้อง <br />
<br />
<b>ฟื้นฟูสังคม</b> ให้ชุมชนมีความเข้มแข็งและสามารถยืนหยัดได้ด้วยตนเอง เสริมสร้างจิตสำนึกแห่งการอยู่ร่วมกันด้วยความเกื้อกูล ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และร่วมมือทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวม ส่งเสริมวัฒนธรรมอันดีงามและภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อให้ทันต่อกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยมีจุดยืนทางความคิดเป็นของตนเอง และสามารถเลือกเอาข้อดีของกระแสโลกมาใช้ เพื่อให้ก่อประโยชน์กับสังคมไทยทุกด้าน <br />
<br />
<b>พัฒนาคุณภาพชีวิต</b> เน้นการพัฒนามนุษย์ให้คนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา เพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตให้กับประชาชน โดยผ่านกลไกของการปฏิรูปปรัชญาการศึกษา การสาธารณสุข สวัสดิการสังคม ภาษี วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีและมีคุณภาพ การกระจายอำนาจการปกครอง การมีสิทธิมีเสียงและการมีส่วนร่วมของประชาชนในชุมชน ในการกำหนดวิถีชีวิตและกระบวนการสร้างความผาสุกของตนเอง <br />
<br />
<b>สนับสนุนให้แต่ละกลุ่มของสังคม</b> ใช้จุดเด่นจากลักษณะสังคมทั้งสามประเภท ที่เป็นแนวโน้มของโลกทั้งสังคมเกษตร สังคมอุตสาหกรรม และสังคมข้อมูลข่าวสาร มาผนึกกันอย่างกลมกลืน เพื่อก่อประโยชน์ให้กับสังคมไทย <br />
<br />
พรรคเพื่อไทยจะใช้แนวคิดดังที่กล่าวมาเป็นพื้นฐานในการดำเนินนโยบาย ภายใต้กรอบภูมิปัญญาที่สั่งสมมาในประวัติศาสตร์ เพื่อฟื้นฟูและปฏิรูปประเทศไทยไปสู่การเป็นประชารัฐที่มีเกียรติและศักดิ์ศรี โดยมีระบอบการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยอันสมบูรณ์อย่างแท้จริง<br />
<br />
ข้อมูลจาก http://www.ptp.or.th/default.aspx<br />
<br />
<hr /><br />
เมื่อได้อ่านนโยบายหลักของพรรคแล้วก็จะเห็นว่าไม่ได้มีความแตกต่างกับนโยบายหลักๆ ของพรรคการเมืองอื่นสักเท่าไหร่นัก แต่นั่นเป็นเรื่องปกติธรรมดาอยู่แล้วเพราะนโยบายก็จะต้องดูสวยหรูส่วนที่ว่าจะทำได้สักแค่ไหน หรือทำไม่ได้ตามที่ฝันไว้เป็นตัวหนังสือ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง และ<b>หากจะมีนโยบายอื่นใดแอบแฝงเพิ่มเติมอยู่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งเช่นกัน</b> <br />
<br />
หากใครติดตามพฤติกรรมทางการเมืองมาอย่างต่อเนื่องในช่วงตั้งแต่หลังการรัฐประหารเมื่อปี 2549 เป็นต้นมา ประกอบกับความระส่ำระสายของพรรคการเมืองใหญ่ๆ หลายพรรค รวมทั้ง พรรคไทยรักไทย ซึ่งพบวิบากกรรมมาจนเป็นพรรคพลังประชาชน ก็ยังหนีไม่พ้น แล้วมาถึงความต่อเนื่องจากวีรกรรมของคนเสื้อเหลืองในการไล่บดขยี้ธุรกรรมและบทบาทของอดีตนายกรัฐมนตรีแบบไม่วางมือจนเป็นเหตุให้รัฐบาลสำรองต้องสลายตัวไปถึง 2 คณะ <br />
<br />
เมื่อมาถึงยุคพรรคประชาธิปัตย์เข้ายึดครองเก้าอี้ฝ่ายบริหาร ก็เกิดวีรกรรมของคนเสื้อแดงขึ้นมาในทันทีด้วยพฤติกรรมที่ก้าวร้าว ดุดัน และมีจุดหมายที่แน่นอนว่าต่อต้านเผด็จการทหารในการทำรัฐประหาร โดยลืมคิดไปว่า หลังการรัฐประหาร ประเทศไทยมีรัฐบาลของคนเสื้อแดงมาแล้วถึง 2 คณะ จากนั้นก็เป็นช่วงเวลาของวีรกรรมหลากหลายกรณี จนไม่อยาากจะให้ใช้คำว่าวีรชนกับศพที่เกิดจากการเข่นฆ่ากันเองของคนไทยด้วยการปลุกปั่นยุยงจากทรราชย์หน้าไหนทั้งสิ้น<br />
<br />
เมื่อถึงวาระที่อำนาจกลับคืนไปอยู่ในมือของประชาชน เราจึงมีโอกาสที่จะพิสูจน์ตัวตนของเราว่าต้องการคนเช่นไรเข้าไปมีบทบาทเป็นตัวแทนของเราในสภาอันทรงเกียรติ หากเป็นการเลือกตั้งแบบเขตเราก็จะได้เห็นหน้าตาชัดเจนพอที่จะสรุปได้ว่า เอาหรือไม่เอา แต่กับระบบบัญชีรายชื่อ เป็นระบบที่ให้อำนาจแก่พรรคการเมืองในการเลือกสรรตัวบุคคลมาให้เราพิจารณา บางคนอาจไม่มีที่มาที่ไป บางคนอาจจะไม่ใช่คนดี บางคนอาจจะเป็นคนดี(ที่พรรคจำใจใส่ชื่อไว้เพื่อเรียกคะแนน) ตัวบุคคลเหล่านี้เองที่เป็นตัวเลือกให้เราได้มีโอกาสได้คิดทบทวนว่า เราพร้อมที่จะให้เกิดเหตุการณ์แบบใดขึ้นในบ้านเมืองและต้องการให้ประเทศเราเดินไปในเส้นทางใด <b>อำนาจนั้นอยู่ในมือคุณ</b><br />
<br />
<hr /><br />
<b>ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร </b><b>แบบบัญชีรายชื่อ </b><b><span class="Apple-style-span" style="font-weight: normal;"><b>พรรคเพื่อไทย </b></span></b><b><span class="Apple-style-span" style="font-weight: normal;"><b>จำนวน 125 รายชื่อ</b></span></b><br />
<br />
1. น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร<br />
2. นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ<br />
3. ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง<br />
4. นายเสนาะ เทียนทอง<br />
5. พล.ต.อ. ประชา พรหมนอก<br />
6. นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์<br />
7. นายปลอดประสพ สุรัสวดี<br />
8. นายจตุพร พรหมพันธุ์<br />
9. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ<br />
10. นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช<br />
<br />
11. พล.ต.ท. ชัจจ์ กุลดิลก<br />
12. นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ<br />
13. นายบัณฑูรย์ สุภัควณิช<br />
14. พ.อ. อภิวันท์ วิริยะชัย<br />
15. นายสันติ พร้อมพัฒน์<br />
16. พล.ต.อ. วิรุฬห์ ฟื้นแสน<br />
17. พล.ต.ท. วิโรจน์ เปาอินทร์<br />
18. นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์<br />
19. นายเหวง โตจิราการ<br />
20. นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล<br />
<br />
21. นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล<br />
22. นายวัฒนา เมืองสุข<br />
23. พล.อ. ยุทธศักดิ์ ศศิประภา<br />
24. นายนิติภูมิ นวรัตน์<br />
25. น.ส. ภูวนิดา คุณผลิน<br />
26. นายสุนัย จุลพงศธร<br />
27. นางรพิพรรณ พงษ์เรืองรอง<br />
28. นายคณวัฒน์ วศินสังวร<br />
29. นายอัสนี เชิดชัย<br />
30. น.ส. สุณีย์ เหลืองวิจิตร<br />
<br />
31. พ.ต. อณันย์ วัชโรทัย<br />
32. นายวิรัช รัตนเศรษฐ<br />
33. นายพรศักดิ์ เจริญประเสริฐ<br />
34. นายนภินทร ศรีสรรพางค์<br />
35. นายถาวร ตรีรัตน์ณรงค์<br />
36. นางวราภรณ์ ตั้งภากรณ์<br />
37. น.ส. สุนทรี ชัยวิรัตนะ<br />
38. น.ส. ตวงรัตน์ โล่ห์สุนทร<br />
39. นายสมพล เกยุราพันธุ์<br />
40. นายพงศกร อรรณนพพร<br />
<br />
41. นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์<br />
42. น.ส. ขัตติยา สวัสดิผล<br />
43. นายธนเทพ ทิมสุวรรณ<br />
44. น.ส. กฤษณา สีหลักษณ์<br />
45. นายเกียรติชัย ติรณศักดิกุล<br />
46. นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท<br />
47. นางเยาวนิตย์ เพียงเกษ<br />
48. นายพายัพ ปั้นเกตุ<br />
49. นางรังสิมา เจริญศิริ<br />
50. ร.ศ. เชิดชัย ตันติศิรินทร์<br />
<br />
51. นายกานต์ กัลป์ตินันท์<br />
52. นายธนิก มาศรีพิทักษ์<br />
53. นายพิชิต ชื่นบาน<br />
54. นายก่อแก้ว พิกุลทอง<br />
55. นายนิยม วรปัญญา<br />
56. น.ส. จารุพรรณ กุลดิลก<br />
57. นายอรรถกร ศิริลัทธยากร<br />
58. นายเวียง วรเชษฐ์<br />
59. นายอดิศักดิ์ โภคกุลกานนท์<br />
60. นายวิเชียร ขาวขำ<br />
<br />
61. นายประวัฒน์ อุดตะโมต<br />
62. นายดนุพร ปุณณกันต์<br />
63. นายยุรนันท์ ภมรมนตรี<br />
64. นางบุศริณธญ์ วรพัฒนานันน์<br />
65. นายกิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์<br />
66. นางอุดมรัตน์ อาภรณ์รัตน์<br />
67. นายชวลิต วิชยสุทธิ์<br />
68. นายธวัชชัย สุทธิบงกช<br />
69. นายทวีศักดิ์ อนรรฆพันธ์<br />
70. นายสรรพภัญญู ศิริไปล์<br />
<br />
71. นางมาลินี อินฉัตร<br />
72. นายชินวัฒน์ หาบุญพาด<br />
73. นายเอกธนัช อินทร์รอด<br />
74. นายถิรชัย วุฒิธรรม<br />
75. นายสมเกียรติ ศรลัมพ์<br />
76. นายอับดุลเร๊ามาน อับดุลสมัด<br />
77. นายชนะศักดิ์ อัตถาวงศ์<br />
78. นายกมล บันไดเพชร<br />
79. นางฉวัวรรณ คลังแสง<br />
80. นายโสภณ เพชรสว่าง<br />
<br />
81. นายภิญโญ ตั๊นวิเศษ<br />
82. นายสถิรพร นาคสุข<br />
83. นายประแสง มงคลศิริ<br />
84. นายสฤษฎ์ อึ้งอภินันท์<br />
85. นายพฤฒิชัย วิริยะโรจน์<br />
86. นายเพชรวรรต วัฒนพงศ์ศิริกุล<br />
87. นายสุรชัย เบ้าจรรยา<br />
88. นางรัตนาภรณ์ สมบูรณ์<br />
89. นายธนาธร โล่ห์สุนทร<br />
90. พล.ต.ต. ธวัช บุญเฟื่อง<br />
<br />
91. พล.ต.ต. ไพฑูรย์ เชิดมณี<br />
92. นายพูลสวัสดิ์ โหตระไวศยะ<br />
93. นายประสพ บุษราคัม<br />
94. นางปานทิพย์ คนสมบูรณ์<br />
95. นายปิยะ อังกินันท์<br />
96. นางปทิดา ตันติรัตนานนท์<br />
97. นายประเกียรติ นาสิมมา<br />
98. นายยุทธพงษ์ แสงศรี<br />
99. นายวิบูลย์ แช่มชื่น<br />
100. ร.ต.ท. เชาวรินธร์ ลัทธศักย์ศิริ<br />
<br />
101. นายธนะรัชต์ วิเชียรรัตน์<br />
102. นายสมบัติ เมทะนี<br />
103. นายชัยวัฒน์ กุลศักดิ์วิมล<br />
104. นายถนอม สมผล<br />
105. นายธนกฤต ชะเอมน้อย<br />
106. นายพินิจ จันทร์สมบูรณ์<br />
107. นายสุรพร ดนัยตั้งตระกูล<br />
108. นายวิม รุ่งวัฒนจินดา<br />
109. นายสุเทพ สายทอง<br />
110. พล.ต.ต. เกษม รัตนสุนทร<br />
<br />
111. นายนิรันดร์ ด่านไพบูลย์<br />
112. นายบัวสอน ประชามอญ<br />
113. นายวัลลภ สุปริยศิลป์<br />
114. นายเรวัต สิรินุกุล<br />
115. นายพิทยา พุกกะมาน<br />
116. นางพรรณี แสงสันต์<br />
117. นายกล่ำคาน ปาทาน<br />
118. นายไชยรัตน์ ไทยเจียมอารีย์<br />
119. นายเหรียญชัย ลิขิตพฤกษ์<br />
120. นายเรืองยุทธ์ ประสาทสวัสดิ์ศิริ<br />
<br />
121. นายต่อพงษ์ ไชยสาสน์<br />
122. นายชาญยุทธ เฮงตระกูล<br />
123. พล.อ.อ. สุเมธ โพธิ์มณี<br />
124. นายพิชัย นริพทะพันธุ์<br />
125. นางนลินี ทวีสินchanin1222http://www.blogger.com/profile/00249325908672343913noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-572427674047273364.post-52018020564103213862011-05-17T23:33:00.001+07:002011-06-17T14:21:54.191+07:00ทางสายการเมืองจากบรรดาหลักฐานทางโบราณคดีและบันทึกจากประวัติศาสตร์ เชื่อว่าความตื่นตัวในทางการเมืองของบ้านเราก่อกำเนิดขึ้นมาจากวิชาการและความรู้ที่ได้รับการบอกเล่ามาจากบรรดาชาวต่างชาติที่หลั่งไหลเข้ามาในประเทศเราตั้งแต่ยุคสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จากจุดเริ่มต้นด้วยการศึกษาภาษาต่างประเทศรวมไปถึงความรู้ในด้านอื่นๆ จากชาวต่างชาติ ซึ่งหลายคนก็ได้รับการแต่งตั้งให้มียศฐาบรรดาศักดิ์เป็นสิ่งตอบอทน ทำให้ได้รับสิทธิพิเศษต่างๆ เพิ่มมากขึ้นทั้งจากราชสำนัก ทั้งจากการประกอบธุรกิจส่วนตัวในการค้าขายกับต่างประเทศ จึงทำให้<b>มีฐานะทางสังคมสูงส่งกว่าคนไทยโดยทั่วไป</b> ในยุคกลางของกรุงรัตนโกสินทร์ก็เริ่มมีการส่งคนในประเทศข้ามน้ำข้ามทะเลไปเข้ารับการศึกษาเพิ่มเติมมากขึ้น ป็นการเริ่มต้นร่างแนวความคิดในระบอบการปกครองที่เป็นรูปแบบใหม่และกำลังระบาดหนักอยู่ในประเทศตะวันตกจากการลุกฮ์อของประชาชนเพื่อล้มล้างระบอบกษัคริย์ในหลายประเทศติดต่อกัน<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj7TMqfMvvTweoGI3A6FvJsV8oKD2ehGLmMwl0O9ALXgMehxaXpJoDt9i2BYfin64O6uU8uFutK7s982iFZs_xUdwBdg2yG6_gIFbzfjVqp5RxSmkikJ9yT7gd218wPEuZ3TeR3veVwBtLS/s1600/C2_1500_B.jpg" imageanchor="1" style="clear:left; float:left;margin-right:1em; margin-bottom:1em"><img border="0" height="320" width="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj7TMqfMvvTweoGI3A6FvJsV8oKD2ehGLmMwl0O9ALXgMehxaXpJoDt9i2BYfin64O6uU8uFutK7s982iFZs_xUdwBdg2yG6_gIFbzfjVqp5RxSmkikJ9yT7gd218wPEuZ3TeR3veVwBtLS/s320/C2_1500_B.jpg" /></a></div><br />
ความสับสนลังเลเกี่ยวกับระบอบการปกครองรูปแบบใหม่ๆ ก่อให้เกิดปัญหาติดตามมาหลายประการ จนมาถึงยุคสมัยของ <b>คณะราษฎร</b> กับวันที่ 24 มิถุนายน 2475 อันเป็นการเปิดตัวระบอบประชาธิปไตยขึ้นมาในบ้านเราอย่างสมบูรณ์แบบเป็นครั้งแรก แต่ก็ดูเหมือนจะเป็นเพียงแบบร่างชนิดถาวรเท่านั้น เพราะการเมืองไทยยังคงนั่งคุกเข่าอยู่ภายใต้ร่มเงาของเผด็จการมาโดยตลอด จากยุคเผด็จการทหารหลัง 2475 ยาวนานมาจนถึงการปลดแอกครั้งใหญ่เมื่อ 14 ตุลาคม 2516 การเมืองไทยเริ่มผงาดชูคอขึ้นมาก่อร่างสร้างตัวใหม่แต่ดูเหมือนว่าประชาชนโดยทั่วไปก็ยังคงสับสนงุนงงอยู่กับอำนาจในมือของตนว่าจะใ้ช้อย่างไร? เนื่องจากในการเลือกตั้งหลายครั้งต่อมาประชาชนก็พบว่าอำนาจในมือที่มอบให้กับผู้แทนราษฎร<b> ถูกนำไปใช้ในทางที่เกิดประโยชน์กับตัวบุคคล</b> มากกว่าเกิดประโยชน์กับประเทศชาติโดยรวม นักการเมืองส่วนมากพากันกอบโกยแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนอย่างไม่ใยดีต่อความรู้สึกของประชาชน <br />
<br />
ช่วงเวลาของการถามหาอัศวินม้าขาว คือ การคืนกลับมาของอำนาจเผด็จการเป็นช่วงๆ สลับกับการคืนกลับมาของระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ แล้วก็คืนกลับไปหาวงจรอุบาทว์ของการกอบโกยผลประโยชน์ของประเทศชาติโดยนักการเมืองบางกลุ่มที่รวมตัวกับกลุ่มทุน นักธุรกิจที่ก่อตั้งช่วงเวลาของเผด็จการรัฐสภาขึ้นมา สร้างความชอบธรรมให้กับตนเองเพื่อเบียดบังผลประโยชน์ของแผ่นดิน ทำให้ประชาชนต้องเรียกร้องหาอัศวินม้าขาว อีกครั้ง และอีกครั้ง โดยไม่มีวันสิ้นสุด เพื่อที่จะคืนอำนาจกลับไปสู่อุ้งมือประชาชนให้ก่อเกิดประชาธิปไตยอีกครั้งหนึ่ง<br />
<br />
หัวใจของปัญหา คือ ความสำนึกในหน้าที่ของประชาชนที่จะต้องใช้ สติ ปัญญา และเหตุผล ที่เหมาะสมในการเลือกสรรตัวบุคคลที่จะเข้าไปเป็นตัวแทนในการบริหารประเทศ ด้วยความเที่ยงธรรมโดยคำนึงถึงความเป็นคนดี มากกว่าคนดัง<br />
ที่มาของปัญหา คือ การขาดความสำนึกในหน้าที่ของนักการเมืองบางคน ความไร้คุณธรรมและจริยธรรมของนักการเมืองบางคน ความจริงใจในการอาสาเข้ามาอยู่บนถนนสายการเมืองด้วยความหวังดีต่อประเทศชาติอย่างแท้จริง<br />
<br />
ประชาชน คือ คำตอบสุดท้ายของความหวังทั้งมวลchanin1222http://www.blogger.com/profile/00249325908672343913noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-572427674047273364.post-88104154385364258822011-04-08T22:38:00.001+07:002011-06-17T14:22:41.967+07:00ถ้า...มองย้อนหลัง<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjGrOzD6afnGcpsDGwHjd9H6nURQFGrFQ42jj2SNVIutN1w6OcvglMT3D-ZteZOwrDGJI822wpLPRJb8ZPvo6cya8hmvKvXtIzD2wdGkJXaAcXtevkbJ8F3YCM5bwJRmprb4GwOP61iVk4E/s1600/ball-n-chain-guy_rubberball.jpg" imageanchor="1" style="clear:left; float:left;margin-right:1em; margin-bottom:1em"><img border="0" height="310" width="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjGrOzD6afnGcpsDGwHjd9H6nURQFGrFQ42jj2SNVIutN1w6OcvglMT3D-ZteZOwrDGJI822wpLPRJb8ZPvo6cya8hmvKvXtIzD2wdGkJXaAcXtevkbJ8F3YCM5bwJRmprb4GwOP61iVk4E/s320/ball-n-chain-guy_rubberball.jpg" /></a></div><br />
ถ้า...ไม่ไปหยิบเอาใบแดงที่เขียนว่า ทบ.1 ติดมือขึ้นมาจากโหลอะลูมิเนียมใบนั้นในช่วงบ่ายอันร้อนระอุของต้นเดือนเมษายน พ.ศ.2520 เส้นทางของชีวิตก็คงเดินไปเป็นเส้นขนานกับวิถีชีวิตของวันนี้อย่างแน่นอน แต่ปัจจัยโดยพื้นฐานของเส้นทางชีวิตมนุษย์ในสังคมคือการไหลไปตามกระแสที่ควรจะเป็นไป .. จึงมีวันนี้ วันที่จำเป็นต้องปฏิว้ติเพื่อพลิกเปลี่ยนวิถีชีวิตของตัวเองจากเส้นทางที่ควรจจะเป็นไป ให้วกกลับมาสู่เส้นทางที่เราวาดหวังเอาไว้ตั้งแต่ต้น ถึงแม้รู้ว่ามันคงสายเกินไปเสียแล้ว แต่ก็ยังคงต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นตามที่เราต้องการ มันเป็นสิ่งสุดท้ายที่ชีวิตนี้ต้องการมากที่สุดเหนือสิ่งอื่นใด<br />
<br />
ถ้า...2 ตุลาคม 2550 ไม่ได้หันหลังก้าวเดินออกจากรั้วสีเขียวสลัดเครื่องแบบและภาระหน้าที่พ้นออกจากตัว ทุกอย่างคงผิดไปจากวันนี้อันเนื่่องมาจากสภาพของสังขารที่ไม่สามารถแบกรับภาระที่มีอยู่และเพิ่มมากขึ้น รวมถึงภาวะบีบคั้นทางจิตใจหลายเหตุผล วันคืนหลังจากนั้นคือความปลอดโปร่งในการดิ้นรนหลุดพ้นออกมาจาก ระเบียบวินัย กฎเกณฑ์ที่บีบรัดรอบด้าน ภาวะความเสื่อมถอยทางสังคมที่ลามเลียเข้ามาสู่สังคมทุกหนแห่ง ชักจูงความอยุติธรรม ความเห็นแก่ตัว รวมถึงการกดขี่ข่มเหงผู้อ่อนด้อยกว่า เป็นภาวะของการสิ้นสุดความอดทนทั้งหลายทั้งปวงโดยไม่มีการพิจารณาซ้ำสองอีกต่อไปแม้แต่วันเดียว ทุกเรื่องราวย่อมมีจุดมุ่งหมายที่วางไว้ และก็ต้องมีจุดสิ้นสุดของมันเช่นกันchanin1222http://www.blogger.com/profile/00249325908672343913noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-572427674047273364.post-71901174801668735602011-03-07T13:05:00.004+07:002011-06-17T14:23:06.866+07:00ส 40105 วิชาประวัติศาสตร์ชั้น ม.6 วันนี้อารมณ์ดีเลยเปิดหนังสือเรียนของลูกมาอ่านเล่นๆ เป็นเอกสารประกอบการเรียน วิชา ส 40105 ประวัติศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 อ่านแล้วก็นึกขึ้นมาได้เผื่อใครยังไม่เคยอ่านก็ลองอ่านดูในอีกแง่มุมหนึ่งของบันทึกจากประวัติศาสตร์ ที่เขียนและรวบรวมโดยบุคคลในวันนี้ ด้วยข้อจำกัดในการรับรู้และเผยแพร่ข่าวสาร ทำให้นักเรียนได้ซึมซับเนื้อหาตามที่ถูกกำหนดเท่านั้น ส่่วนความเป็นจริงนั้นเป็นเรื่องที่ต้องไปค้นหาเอง<br />
เชิญอ่านเพลินๆ ก็แล้วกัน<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg2-b55ce-O3kLi4wOC1kXNmOAkCL-Oo8OuNQLRGtWgzD4IV29RKcCcB-lWrhRXZB_zFr8rbR1XvhU42sS__pxQQHDKUzbS3cTMPmFu99x1yrU2r2gzovJlggXVA6eve0u0O-m-DBhJ6caK/s1600/DemocMonumentSS.jpg" imageanchor="1" style="margin-left:1em; margin-right:1em"><img border="0" height="310" width="380" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg2-b55ce-O3kLi4wOC1kXNmOAkCL-Oo8OuNQLRGtWgzD4IV29RKcCcB-lWrhRXZB_zFr8rbR1XvhU42sS__pxQQHDKUzbS3cTMPmFu99x1yrU2r2gzovJlggXVA6eve0u0O-m-DBhJ6caK/s400/DemocMonumentSS.jpg" /></a></div><br />
<br />
การปฏิวัติ พ.ศ. 2475 : การเปลี่ยนแปลงสู่ระบอบประชาธิปไตยของไทย<br />
คำถามก่อนและหลังการปฏิวัติ<br />
1. เมื่อพิจารณาจากสภาพการณ์ของไทยในสมัย พ.ศ. 2475 แล้ว ท่านคิดว่าการปฏิวัติ พ.ศ. 2475 เป็นเหตุการณ์ที่ไม่ควรเกิดขึ้นหรือเป็นเรื่อง “ชิงสุกก่อนห่าม”<br />
2. เหตุใดพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงสละราชย์สมบัติ ใน พ.ศ. 2477<br />
<br />
<b>สภาพการณ์วันปฎิวัติ พ.ศ. 2475</b><br />
เมื่อวันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ข้าราชการทหารและพลเรือนจำนวน 102 นายในนามของคณะราษฎร ได้ยึดอำนาจจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 โดยมีจุดมุ่งหมาย “ ที่จะให้ประเทศสยามมีธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน” <br />
(อ้างถึงจาก ชาญวิทย์ เกษตรศิริ : ๒๕๔๗ )<br />
การยึดอำนาจดำเนินไปในตอนเช้าตรู่วันที่ 24 มิถุนายน 2475 ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า <br />
มีทหารบก –เรือ และนักเรียนนายร้อยทหารบกเข้าร่วมเพียงประมาณไม่เกิน 2 พันคน ส่วนใหญ่มารวมกันที่ลานพระรูป เพราะเข้าใจว่ามาดูการซ้อมสวนสนาม พระยาพหลพลพยุหเสนาหัวหน้าคณะราษฎรได้ประกาศการปฏิวัติเปลี่ยนการปกครองเป็นประชาธิปไตยต่อที่ชุมนุมนั้น ขณะเดียวกันสมาชิกคณะราษฎรได้แยกย้ายไปปฎิบติหน้าที่ที่สำคัญคือ การจับผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน สมเด็จ<br />
พระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต มาไว้ที่พระที่นั่งอนันตสมาคม เพื่อเป็นหลักประกันพร้อมกับพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จแปรพระราชฐานที่หัวหิน คณะราษฎรได้มอบหมายให้นาวาตรีหลวงศุภชลาศัย ผู้บังคับการเรือรบหลวงสุโขทัย นำหนังสือไปกราบบังคมทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จกลับพระนครและขอให้ทรงดำรงตำแหน่งเป็นกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ซึ่งพระองค์ได้ทรงยินยอมให้ความร่วมมืออย่างดี เพราะทรงเห็นแก่ความสงบของบ้านเมืองเป็นสำคัญและตรงกับพระราชนิยมมาแต่เดิม <br />
การปกครองแบบระบอบประชาธิปไตยนั้นเดิมปรากฏว่ารัชกาลที่ 7 มีพระราชประสงค์อยู่บ้าง<br />
เห็นได้ที่ทรงให้พระยากัลยาณไมตรี ( ดร.ฟรานซิส บี.แซร์ )และพระยาศรีวิสารวาจาเสนอร่างรัฐธรรมนูญและโครงสร้างของรัฐบาล แต่ไม่ประสบความสำเร็จเพราะไม่มีเสียงสนับสนุนโดยเฉพาะในอภิรัฐมนตรีสภา ซึ่งประกอบด้วยพระราชวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ ด้วยเหตุผลว่าประชาชนยังไม่พร้อมที่จะปกครองตนเอง รัชกาลที่ 7 ต้องยอมรับมติของอภิรัฐมนตรีสภาเนื่องจากล้วนเป็นพระราชวงศ์ที่มีอาวุโสมากกว่าพระองค์<br />
ทั้งสิ้น<br />
<br />
<b>เหตุใดจึงมีการปฏิวัติ พ.ศ. 2475</b><br />
สาเหตุการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองได้แก่<br />
1. ปัญหาเศรษฐกิจ ได้แก่ ข้าราชการและประชาชนส่วนใหญ่ไม่พอใจนโยบายดุลยภาพและการ<br />
เพิ่มภาษีอากร เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจสมัยรัชกาลที่ 7 ในสมัยนั้นงบประมาณแผ่นดินมีรายจ่ายสูงกว่ารายได้ติดต่อกันมาถึง 5 ปี ต่อเนื่องจากปัญหาจากการคลังสมัยรัชกาลที่ 6 ( เช่น การใช้งบประมาณเรื่องเสือป่า การสร้างดุสิตธานีเพื่อทดลองการปกครองตนเองระดับท้องถิ่น และการเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 และเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก ) รัฐบาลขณะนั้นไม่กู้เงินจากต่างประเทศ แต่แก้ปัญหาโดยลดค่าใช้จ่ายของแผ่นดิน ขณะเดียวกันสภาวะหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 สภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ทำให้ค่าของเงินลดลงทั่วโลก อังกฤษลดค่าเงินปอนด์แต่ไทยไม่ลดค่าเงินบาท ส่งผลให้ข้าวไทยราคาแพง ขายไม่ออก ชาวนาเดือดร้อน รัฐบาลใช้วิธีลดรายจ่ายโดยการดุลยภาพถึงสองครั้ง มีการปลดข้าราชการออก โดยเฉพาะข้าราชการทหารและยกเลิกหน่วยงานอื่นๆ เช่น กรมศิลปากร เป็นต้น <br />
2. กระแสความนิยมประชาธิปไตยและการปฏิวัติเปลี่ยนการปกครอง ในประเทศต่าง ๆ<br />
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 อย่างต่อเนื่องขณะที่ยังมีความเหลื่อมล้ำทางสังคมในประเทศอย่างมาก <br />
ที่สำคัญ คือ การปฏิวัติล้มล้างราชวงศ์แมนจู เปลี่ยนเป็นประชาธิปไตยโดยพรรคก๊กมินตั๋ง การปฏิวัติเปลี่ยนเป็นคอมมิวนิสต์ในรัสเซียโดยเลนิน และการสิ้นสุดการปกครองโดยราชวงศ์ออสเตรีย-ฮังการี เหตุการณ์เหล่านั้นมีผลต่อปัญญาชนและชนชั้นกลางของไทยที่ไปศึกษาต่อในต่างประเทศ ซึ่งเป็นผู้นำการปฏิวัติ พ.ศ. ๒๔๗๕ และมีศูนย์กลางที่ฝรั่งเศส อาทิ นายปรีดี พนมยงค์ นายประยูร ภมรมนตรี ร้อยโทแปลก ขีตตสังคะ เป็นต้น<br />
๑. บทบาทของหนังสือพิมพ์ในการเรียกร้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมกับการเปลี่ยนแปลงการ<br />
ปกครอง เช่น สยามรีวิวและไทยใหม่ ซึ่งมีส่วนในการส่งเสริมให้ประชาชนสนใจและเห็นประโยชน์ของการปกครองโดยมีรัฐสภา<br />
หลักหกประการของคณะราษฎร<br />
คณะราษฎรมีจุดมุ่งหมายที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย โดยมีรัฐธรรมนูญเป้นกฏหมายสูงสุด และมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ คณะราษฎรได้ออกแถลงการณ์แก่ประชาชน ชี้แจงจุดประสงค์และนโยบายในการบริหารประเทศ 6 ประกาศ คือ<br />
1. จะต้องรักษาความเป็นเอกราชทั้งหลาย เช่น เอกราชทางการเมือง การศาล เศรษฐกิจ<br />
2. จะต้องรักษาความปลอดภัยในประเทศ ให้การประทุษร้ายต่อกันน้อยลงให้มาก<br />
3. จะต้องทำนุบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะหางานให้<br />
ราษฎรทุกคนทำ จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดหยาก<br />
4. จะต้องให้ราษฎรได้มีสิทธิเสมอภาคกัน<br />
5. จะต้องให้ราษฎรได้มีเสรีภาพ มีความอิสระ เมื่อเสรีภาพนี้ไม่ขัดต่อหลัก 4 ประการดังกล่าว<br />
ข้างต้น<br />
6. จะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร<br />
<br />
<b>การปกครองแบบประชาธิปไตยหลังการปฏิวัติ 24 มิถุนายน 2475 </b><br />
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม และมีการแต่งตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เริ่มมีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรและเลือกประธาสภาฯคนแรกคือ พระยามโนปกรณ์นิติธาดา( ก้อน หุตะสิงห์ – ไม่ได้เป็นคณะผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ) มีคณะกรรมการราษฎรอีก 14 นาย ทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน และมีอนุกรรมการร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรให้เสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับแรกในวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 พร้อมทั้งทรงประกาศแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีชุดแรกของไทยจำนวน 20 คน มีพระยามโนปกรณ์นิติธาดาเป็นนายกรัฐมนตรี<br />
<br />
<b>คำถาม</b> ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหลังการปฏิวัติ พ.ศ. 2475 จนปัจจุบัน แสดงให้เห็นพัฒนาการของประชาชนที่จะปกครองตนเองอย่างไรบ้าง<br />
<br />
<b>ความขัดแย้งทางการเมืองหลังการปฏิวัติ 2475</b><br />
การยุบสภาและการรัฐประหารครั้งแรก<br />
ความขัดแย้งทางการเมืองเริ่มจาก การที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีความเห็นต่างกัน เรื่องหลักหกประการของหลวงประดิษฐ์มนูธรรม ฝ่ายหนึ่งเป็นคณะผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองแต่เริ่มต้น อีกฝ่ายเป็นผู้เข้าร่วมก่อการปฎิวัติภายหลัง คือ พันเอกพระยาทรงสุรเดช และพระยาฤทธิอัคเณย์ เมื่อสภาผู้แทรราษฎรมีความขัดแย้งกันอย่างรุนแรงถึงขั้นถือปืนเข้าสภา ทำให้ทหารตรวจค้นอย่างเข้มงวดทำให้สมาชิกสภาฯ ไม่พอใจรัฐบาลมากขึ้นและลงมติไม่รับหลักหกประการ นายกรัฐมนตรีจึงประกาศปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร ตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ซึ่งไม่มีหลวงประดิษฐ์มนูธรรมและออกพระราชบัญญัติว่าด้วยคอมมิวนิสต์ หลังจากนั้นจึงส่งหลวงประดิษฐ์มนูธรรมออกไปพำนักในฝรั่งเศสเป็นการชั่วคราว เมื่อนายกรัฐมนตรีนำเรื่องขึ้นทูลเกล้าถวายเพื่อทรงพิจารณา รัชกาลที่ 7 ได้ทรงแสดงพระราชดำริไม่เห็นชอบกับหลักหกประการ<br />
ขณะนั้นคณะผู้ก่อการปฏิวัติ 2475 ฝ่ายทหารแต่เดิม นำโดยพระยาพหลพลพยุหเสนาไม่พอใจ จึงมีการยึดอำนาจจากรัฐบาลและดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทนในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2476 นับเป็นการรัฐประหารครั้งแรกของไทย หลังจากนั้นหลวงประดิษฐ์มนูธรรมก็ได้เดินทางกลับมาเป็นรัฐมนตรีอีกครั้ง โดยมีความพยายามจะเสนอหลักหกประการอีกครั้ง<br />
<br />
<b>กบถบวรเดช </b><br />
ต่อมาเดือนตุลาคม พ.ศ. 2476 พลเอกพระองค์เจ้าบวรเดชทรงรวบรวมนายทหารที่ไม่เห็นด้วยกับการดำเนินงานของคณะราษฎร ได้นำทหารจากนครราชสีมาและอีกบางจังหวัด ในภาคอีสานและภาคกลาง เดินทางมากรุงเทพ ฯ เพื่อโค่นล้มรัฐบาล ได้เคลื่อนกำลังมารบกับฝ่ายรัฐบาลที่ดอนเมือง <br />
ในนามคณะกู้บ้านเมือง เรียกร้องให้รัฐบาลลาออกและอัญเชิญพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู้หัวเป็นประมุข ปกครองตามระบอบประธิปไตยอย่างแท้จริง คณะรัฐบาลได้แต่งตั้งพันโทหลวงพิบูลสงคราม เป็นผู้อำนวยการปราบกบฎ การรบดำเนินไปอย่างรุนแรง ในที่สุดฝ่ายรัฐบาลได้ชัยชนะในวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2476 พลเอกพระองค์เจ้าบวรเดช ทรงหลบหนีไปลี้ภัยที่อินโดจีน <br />
<br />
<b>การสละราชสมบัติ</b><br />
คำถามชวนคิด หากท่านมีโอกาสแก้ปัญหาการเมืองหลังการปฏิวัติ พ.ศ. 2475 เพื่อป้องกันมิให้รัชกาลที่ 7 สละราชสมบัติ ท่านจะเสนอทางออกของปัญหานี้ได้อย่างไรบ้าง <br />
ความไม่พอพระทัยของรัชกาลที่ 7 มีมาตั้งแต่หลังการปฎิวัติ เพราะมีปัญหาต่าง ๆ ที่ส่งผล<br />
กระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างมาก โดยเฉพาะความขัดแย้งเรื่องเค้าโครงเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐมนูธรรม จากหลักหกประการ ที่เรียกว่า “ สมุดปกเหลือง ”ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีแนวโน้มเป็นสังคมนิยมแบบคอมมิวนิสต์ สาระสำคัญกล่าวถึงการให้ประชาชนใช้แรงงานให้เต็มที่เพื่อพัฒนาประเทศ กำหนดให้บุคคลอายุตั้งแต่ 18 ปี ขึ้นไปจนถึง 55 ปี เป็นข้าราชการ ได้รับเงินเดือนตามที่รัฐบาลกำหนด มุ่งปรับปรุงการกสิกรรมมากกว่าด้านอื่น โดยดึงปัจจัยการผลิตมาใช้ให้เต็มที่ โดยเฉพาะที่ดินให้ดึงมาเป็นของรัฐ รัฐบาลควรเก็บภาษีทางอ้อมมากขึ้น กู้เงินทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ใช้ระบบสหกรณ์เข้ามาดำเนินงาน บริหารและควบคุมโดยคนของรัฐ มีการจัดตั้งโรงงานอุตสาหกรรมโดยรัฐเป็นเจ้าของและตั้งธนาคารชาติ <br />
แนวคิดดังกล่าวพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงคัดค้าน โดยทรงเห็นว่าถอดแบบมาจากประเทศรุสเซีย พระราชวิจารณ์ของพระองค์เรียกว่า “ สมุดปกขาว”<br />
ต่อมาการที่มีการยุบสภาและรัฐประหารโดยคณะนายทหาร ในพ.ศ. 2476 ตลอดจนกบฎ<br />
บวรเดช ซึ่งจงรักภักดีต่อรัชกาลที่ 7 ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างรัชกาลที่ 7 และคณะรัฐบาลทหารมีปัญหามากขึ้น ต่อมามีการใช้อำนาจรัฐบาลทหารตั้งศาลพิเศษพิพากษาคดีและลงโทษผู้ก่อการกบฏ<br />
บวรเดชอย่างรุนแรงทั้งยังมีบีบคั้นฝ่ายที่มีความเห็นคัดค้านอย่างไม่เป็นธรรม ดังเช่น การตราพระราชบัญญัติจัดการป้องกันรักษารัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2476 ความขัดแย้งถึงขั้นวิกฤตเมื่อรัชกาลที่ 7 ไม่ทรงลงพระปรมาภิไธยในพระราชบัญัติดังกล่าวที่ไม่ทรงเห็นด้วย แต่สภาผู้แทนราษฎรก็ยังประกาศใช้ในเวลาต่อมา<br />
เมื่อไม่สามารถประนีประนอมกันได้ รัชกาลที่ 7 จึงทรงตัดสินใจสละราชสมบัติ เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2477 ด้วยเหตุผลดังความตอนหนึ่งในพระราชหัตถเลขาทรงสละราชสมบัติ ซึ่งรัชกาล<br />
ที่ 7 พระราชทานมายังรัฐบาลว่า<br />
“.. ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรทั่วไป ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใดคณะใดโดยเฉพาะ เพื่อใช้อำนาจนั้นโดย<br />
สิทธิขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร...”” <br />
ต่อมาในวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2477 พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล พระโอรสในสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงสงขลานครินทร์ ได้ขึ้นครองราชย์สมบัติด้วยความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร์ พระองค์เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2489 สมเด็จพระราชอนุชา คือ พระบาทสมเด็จ<br />
พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชจึงขึ้นครองราชย์สืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน<br />
<br />
<b>คำถามส่งท้าย</b><br />
ท่านรู้จักการปฏิวัติที่สำคัญในประวัติศาสตร์เรื่องใดบ้าง แต่ละครั้งมีความสำคัญอย่างไร<br />
-----------------------------<br />
ที่มา ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ประวัติการเมืองไทย ดอกหญ้า :กรุงเทพ ฯ ; 2537 <br />
รอง ศยามานนท์ ประวัติศาสตร์ไทยในระบอบรัฐธรรมนูญ. ไทยวัฒนาพานิช :กรุงเทพฯ ; 2520chanin1222http://www.blogger.com/profile/00249325908672343913noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-572427674047273364.post-88742243814722248072011-03-07T13:04:00.003+07:002011-06-17T14:23:36.803+07:00รัฐธรรมนูญฉบับแรก<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhdSP6Vcbyw6mo4ILVFYw8ftvRFtp5aDPjt5GdLJFPw7eA8Ukts6VnVDIW23CtlthXjDN8M4nppPmsPD1cyA5I0oeU0dFUZz-yuMceJHAP1CyNBpmxuZkQTIH1s8MmBdjwkWQOorb0DeimH/s1600/1_148.jpg" imageanchor="1" style="margin-left:1em; margin-right:1em"><img border="0" height="300" width="400" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhdSP6Vcbyw6mo4ILVFYw8ftvRFtp5aDPjt5GdLJFPw7eA8Ukts6VnVDIW23CtlthXjDN8M4nppPmsPD1cyA5I0oeU0dFUZz-yuMceJHAP1CyNBpmxuZkQTIH1s8MmBdjwkWQOorb0DeimH/s400/1_148.jpg" /></a></div><br />
<br />
จากบทความของ รอง ศาสตราจารย์ ดร. นันทวัฒน์ บรมานันท์ อาจารย์ประจำ คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรื่อง ข้อสังเกตบางประการเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญฉบับแรกของไทย ซึ่งบังเอิญไปอ่านเจอ ก็ขออนุญาตนำมาลงไว้ ณ ที่นี้ เพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้มีโอกาสศึกษาและใช้วิจารณญานของตนเองตามกำลังของสติปัญญา<br />
<br />
เมื่อคณะราษฎรได้ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่ใช้ปกครองอยู่เป็นเวลานานก็ได้สิ้นสุดลง และเกิดระบอบการปกครองใหม่ที่คณะราษฎรนำมาใช้ นั่นคือระบอบการปกครอง "ประชาธิปไตย แบบตะวันตกที่มีรัฐธรรมนูญ (Constitution) เป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ" และหลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองได้เพียง 3 วัน คณะราษฎรก็ได้นำ "พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475" ออกใช้บังคับเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ.2475<br />
ผู้ที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกของไทยคือ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) ซึ่งถือกันว่าเป็น "มันสมอง" ของคณะราษฎร เมื่อทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองสำเร็จแล้วคณะราษฎรก็ได้นำร่าง "พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม พุทธศักราช 2475" ที่ได้จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วขึ้นทูลเกล้าฯถวายพระบาทสมเด็จพระปกเกล้า เจ้าอยู่หัวเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย เดิมทีนั้นคณะราษฎรต้องการให้รัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวเป็นรัฐธรรมนูญถาวรแต่ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทางรับสั่งให้ใช้รัฐธรรมนูญนี้ไปพลางก่อน และให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรต่อไปจึงได้มีการ เติมคำว่า "ชั่วคราว" ลงไปและเมื่อรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวประกาศใช้บังคับแล้วก็ได้มีการตั้งคณะ กรรมการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาเพื่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรซึ่งต่อมาก็คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ.2475 ลงวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ.2475<br />
พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 มีสาระสำคัญที่เห็นเด่นชัดมีอยู่สองประการ คือ<br />
1. จำกัดอำนาจกษัตริย์ เมื่อพิจารณาจาก "ประกาศของคณะราษฎรฉบับที่ 1" ที่ได้แจกจ่ายให้แก่ประชาชนในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 แล้ว จะเห็นได้ว่า คณะราษฎรทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองก็เพราะไม่ศรัทธาในระบอบสมบูรณาญาสิทธิ ราชย์และต้องการให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศ จึงได้ "…..รวม กำลังตั้งเป็นคณะราษฎรขึ้น และได้ยึดอำนาจของรัฐบาลกษัตริย์ ….." ส่วนสถานภาพของพระมหากษัตริย์นั้น คณะราษฎรได้ชี้แจงว่า "…..คณะราษฎร ไม่ประสงค์ทำการแย่งชิงราชสมบัติ ฉะนั้นจึงได้ขอเชิญให้กษัตริย์องค์นี้ดำรงตำแหน่งกษัตริย์ต่อไป แต่จะต้องอยู่ใต้กฎหมายธรรมนูญการปกครองแผ่นดินจะทำอะไรโดยลำพังไม่ได้ นอกจากด้วยความเห็นของสภาผู้แทนราษฎร….."<br />
หลักการที่ปรากฏอยู่ในประกาศของคณะราษฎรฉบับที่ 1 ได้ถูกนำมาบัญญัติไว้หลายๆแห่งด้วยกันในพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่น ดินสยามชั่วคราวฯ โดยเริ่มตั้งแต่คำปรารภที่ว่า "…..โดยที่คณะราษฎรได้ ขอร้องให้อยู่ใต้ธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม….." ซึ่งชี้ให้เห็นชัดว่า ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ได้สิ้นสุดลงแล้ว และพระมหากษัตริย์ทรงอยู่ใต้รัฐธรรมนูญเหมือนกับประชาชนทั่วๆไป จากนั้นในมาตรา 1 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวก็ได้ยืนยันถึงการเปลี่ยนแปลงตัว "ผู้มีอำนาจ สูงสุด" ของประเทศว่า "อำนาจสูงสุดของประเทศนั้นเป็นของราษฎรทั้ง หลาย" ซึ่งเท่ากับว่ากษัตริย์ได้สูญเสียอำนาจสูงสุดให้กับประชาชนแล้ว และในมาตรา 2 คณะราษฎรก็ได้ย้ำถึงสถานะของกษัตริย์อีกครั้งหนึ่งว่ามีสถานะเท่าๆกับองค์กร อื่นอีก 3 องค์กรที่จะ "เป็นผู้ใช้อำนาจแทนราษฎร" คือ กษัตริย์ สภาผู้แทนราษฎร คณะกรรมการราษฎรและศาล<br />
ในมาตรา 6 ได้มีการให้อำนาจแก่ "ตัวแทนของประชาชน" ที่จะวินิจฉัยการกระทำผิดทางอาญาของกษัตริย์ได้โดยบัญญัติไว้ว่า "กษัตริย์ จะถูกฟ้องร้องคดีอาชญายังโรงศาลไม่ได้เป็นหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎรจะ วินิจฉัย" ส่วนบรรดาการกระทำต่างๆของ "พระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ" จะต้องเป็นไปตามบทบัญญัติในมาตรา 7 คือ "…..ต้อง มีกรรมการราษฎรผู้หนึ่งผู้ใดลงนามด้วย โดยได้รับความยินยอมของคณะกรรมการราษฎรจึงจะใช้ได้ มิฉะนั้นเป็นโมฆะ"<br />
บทบัญญัติดังกล่าวข้างต้นเป็นสิ่งแสดงถึงการจำกัดอำนาจของกษัตริย์ที่ถูก บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับแรกอย่างชัดแจ้ง นอกเหนือจากเรื่องดังกล่าวยังมีอีกหลายกรณีที่กษัตริย์ไม่สามารถทำได้ เช่น ยับยั้งร่างกฎหมายไม่ได้ (มาตรา 8) ทรงถอดถอนเสนาบดีไม่ได้ เว้นแต่จะได้รับคำแนะนำจากคณะกรรมการราษฎร(มาตรา 35) ฯลฯ ซึ่งท่านผู้สนใจรายละเอียดดังกล่าวย่อมสามารถตรวจสอบได้จากพระราชบัญญัติ ธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475<br />
2. ให้อำนาจแก่ประชาชน ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า วัตถุประสงค์ประการหนึ่งของคณะราษฎรในการเปลี่ยนแปลงการปกครองก็คือ ต้องการให้ประชาชนมีส่วนในการปกครอง ประเทศตามแบบอย่างประเทศในยุโรป จึงได้กำหนดเรื่องจำกัดอำนาจของพระมหากษัตริย์ไว้ในรัฐธรรมนูญและเพิ่มอำนาจ ให้แก่ "ตัวแทนของประชาชน"<br />
พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 ได้กำหนดองค์กรที่ทำหน้าที่ "ตัวแทนของประชาชน" ไว้สององค์กร องค์กรแรกได้แก่ สภาผู้แทนราษฎรซึ่งทำหน้าที่นิติบัญญัติ โดยในครั้งแรกหลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครอง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะมาจากการแต่งตั้งของคณะราษฎรมีจำนวนทั้งสิ้น 70 คน และจะทำหน้าที่สภาผู้แทนราษฎรอยู่ 6 เดือนหลังจากได้รับแต่งตั้ง จากนั้นจะเปิดให้ราษฎรในแต่ละจังหวัดเลือกผู้แทนเข้ามาทำหน้าที่สภาผู้แทน ราษฎร (มาตรา 10) ต่อไป ส่วนองค์กรที่ทำหน้าที่บริหาร ได้แก่ คณะกรรมการราษฎรซึ่งมาจากการเลือกตั้งของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากบรรดา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั่นเอง (มาตรา 33) องค์กรทั้งสองนี้ผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้แบบอย่างมาจากต่างประเทศเพราะในขณะ เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 ซึ่งตรงกับปี ค.ศ.1932 นั้นประเทศต่างๆในยุโรปต่างก็มีสภาผู้แทนราษฎรทำหน้าที่แทนประชาชนทั้งนั้น ส่วนฝ่ายบริหารหรือคณะกรรมการราษฎรนั้น ผู้ร่างรัฐธรรมนูญน่าจะได้แนวความคิดมาจากองค์กรที่ทำหน้าที่ฝ่ายบริหารใน รัสเซีย "People's Commissioner" ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญรัสเซียฉบับปี ค.ศ.1924 (พ.ศ.2467) ซึ่งใช้อยู่ในช่วงระยะเวลานั้น<br />
องค์กรทั้งสองที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ คณะราษฎรถือว่าเป็น "ตัวแทนของประชาชน" ที่จะเข้ามาบริหารประเทศแทนกษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ จึงมีการบัญญัติให้อำนาจเอาไว้หลายอย่าง เช่น สภาผู้แทนราษฎรมีอำนาจ พิจารณาคดีอาญาของพระมหากษัตริย์ได้ (มาตรา 6) มีอำนาจดูแลควบคุมกิจการของประเทศ และมีอำนาจประชุมกันถอดถอนกรรมการราษฎรหรือพนักงานรัฐบาลผู้หนึ่งผู้ใดก็ได้ (มาตรา 10) ซึ่งนับได้ว่าเป็นการให้อำนาจแก่สภาผู้แทนราษฎรอย่างล้นเหลือและกว้างขวาง ถึงขนาดสามารถถอดถอนพนักงานรัฐบาลได้ ส่วนคณะกรรมการราษฎรที่ทำหน้าที่บริหารก็มีอำนาจใช้สิทธิแทนพระมหา กษัตริย์ (เท่ากับสำเร็จราชการแทนพระองค์) ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นชั่วคราวที่พระมหากษัตริย์ทำหน้าที่ไม่ได้หรือไม่อยู่ ในพระนคร (มาตรา 5) นอกจากนี้ก็ยังมีอำนาจให้ความยินยอมต่อการกระทำใดๆ ของพระมหากษัตริย์ ซึ่งหากพระมหากษัตริย์ไม่ได้รับความยินยอมจากคณะกรรมการราษฎรแล้ว การกระทำนั้นตกเป็นโมฆะ(มาตรา 7) มีอำนาจให้อภัยโทษ (มาตรา 30) และแนะ นำให้พระมหากษัตริย์ทรงถอดถอนเสนาบดี (มาตรา 35 ได้ )ฯลฯ<br />
สาระสำคัญทั้งสองประการของพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่ว คราว พุทธศักราช 2475 ชี้ให้เห็นชัดว่า ผู้มีอำนาจสูงสุดในขณะนั้นคือ ราษฎรและผู้สนับสนุนเพราะเป็นทั้งฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารที่มีอำนาจ มาก และแม้ว่าฝ่ายบริหารคือ คณะกรรมการราษฎร(ที่มาจากการเลือกตั้งของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากบรรดา สมาชิกด้วยกันเอง) จะสามารถถูกสภาผู้แทนราษฎร (ที่มาจากการแต่งตั้งของคณะราษฎร) ถอดถอนได้ แต่ก็มิได้มีบทบัญญัติมาตราใดในรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่ให้อำนาจฝ่ายบริหาร หรือพระมหากษัตริย์ที่จะควบคุมสภาผู้แทนราษฎรด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง (เช่น ยุบสภา) ได้ ดังนั้นอำนาจสูงสุดจึงตกอยู่กับสภาผู้แทนราษฎรซึ่งก็คือ คณะราษฎรและผู้สนับสนุนนั่นเอง มิได้ตกอยู่กับประชาชนตามแบบประเทศที่ปกครองด้วยระบอบ "ประชาธิปไตย" ทั้งหลาย ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ.2475 จึงน่าจะเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองประเทศและบุคคล ที่มีอำนาจในการปกครองประเทศมากกว่าจะเป็นการเปลี่ยนระบบการ ปกครองประเทศ<br />
และในที่สุดหลังจากที่ทรง "อดทน" ต่อวิธีการปกครองประเทศแบบใหม่มาได้เกือบสองปี พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงสละราชสมบัติเมื่อวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ.2477 โดยในพระราชหัตถเลขาประกาศสละราชสมบัติ พระองค์ได้กล่าวไว้ในตอนหนึ่งว่า "…..ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่เดิมให้แก่ ราษฎรทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใดโดยเฉพาะเพื่อใช้อำนาจโดยสิทธิขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาชนราษฎร….."<br />
________________________________________<br />
ลงเผยแพร่ครั้งแรกใน Public Law Net วันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2544<br />
<br />
คัดลอกมาจาก http://www.pub-law.net/article/ac150744.htmlchanin1222http://www.blogger.com/profile/00249325908672343913noreply@blogger.com0