เพื่อผ่อนคลาย

ประวัติศาสตร์ เป็นสิ่งหนึ่งที่เปรียบเสมือนกระจกเงาที่ส่องสะท้อนให้เห็นถึงความกระหายในอำนาจของผู้นำ ประเทศ ที่บริหารบ้านเมืองดโยให้ความสำคัญกับตัวเองมากกว่าเลือดเนื้อและชีวิตของประชาชน ออกเดินทางไปบนเส้นทางอย่างมืดบอด ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ช่วงปี พ.ศ.2482-2488  ประเทศผู้ร่วมสงครามได้รวมตัวกันเป็นพันธมิตรสองฝ่ายอันเป็นคู่สงคราม ได้แก่ ฝ่ายสัมพันธมิตร  และฝ่ายอักษะ ในระหว่างสงครามมีการระดมกำลังทหารมากกว่า 100 ล้านนาย  สงครามครั้งนี้มีการประมาณการค่าใช้จ่ายไว้ว่ามีมูลค่าราว 1 ล้านล้านดอลล่าร์ และนับว่าเป็นสงครามขนาดใหญ่ที่สุด ใช้เงินทุนมากที่สุด และนองเลือดที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ


ได้มีการประมาณว่ามีผู้เสียชีวิตจากสงครามโลกครั้งที่สองไว้อย่างหลากหลาย แต่ส่วนใหญ่ได้เสนอว่าคิดเป็นจำนวนมากกว่า 60 ล้านคน ประกอบไปด้วยทหารอย่างน้อย 22 ล้านคน และพลเรือนอย่างน้อย 40 ล้านคน สาเหตุเสียชีวิตของพลเรือนส่วนใหญ่นั้นมาจากโรคระบาด การอดอาหาร การฆ่าฟัน และการทำลายพืชพันธุ์ ด้านสหภาพโซเวียตสูญเสียประชากรราว 27 ล้านคนระหว่างช่วงสงคราม คิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของความสูญเสียทั้งหมดระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง


รายละเอียดสามารถติดตามอ่านได้จาก http://th.wikipedia.org/wiki/สงครามโลกครั้งที่สอง

แต่เรื่องดังกล่าวถือเป็นเรื่องที่ผิดปกติ หากพิจารณาเกี่ยวกับสาเหตุที่มาของความขัดแย้งครั้งนี้เพราะสถานการณ์ที่ลุกลามขยายตัวไปทั่วโลก ทำให้เกิดการแบ่งประเทศชาติและประชาชนออกเป็นสองฝ่ายอย่างชัดเจน ไม่มีใครยืนอยู่ตรงกลางได้(เหมือนกับประเทศไทย) ซึ่งนั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ

ภายหลังสงคราม ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นของผู้แพ้ แต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการรุกรานย่ำยีของผู้ชนะที่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน โดยเริ่มจากระหว่างสงคราม มีการทดลองใช้อาวุธร้ายแรงที่คิดค้นขึ้นนมาใหม่ ทั้งอาวุธ เคมี ชีวะ รังสี ในทุกรูปแบบด้วยความร่วมมือของชาติมหาอำนาจในยุคนั้นทั้งฝ่ายสัมพันธมิตรและฝ่ายอักษะ ทำให้โลกได้รู้จักกับคำว่า ระเบิดปรมาณู เป็นครั้งแรกและสถานที่ทดลองก็เป็นสถานที่ที่มีคนที่มีชีวิตอาศัยอยู่จริง มีอาคารสถานที่ที่สามารถวัดผลของความเสียหายได้ชัดเจน รวมปถึงสามารถวัดผลที่สืบเนื่องต่อมาอีกนานเท่านาน ซึ่งผลงานเหล่านี้ประชาชนในประเทศญี่ปุ่นไม่พึงปราถนาอย่างแน่นอน การเข้ายึดครองประเทศต่างๆ หลังสงครามกระทำต่อเนื่องกันมายาวนานจนกว่าประชาชนในประเทศนั้นจะออกมามีปฏิกริยาต่อต้านและเรียกร้องหาอิสรภาพของประเทศ แต่นั่นเป็นภายหลังที่ชาติมหาอำนาจได้สูบกินทรัพยากรของแผ่นดินไปจนเหือดแห้งแล้ว

ความสงบเกิดขึ้นเมื่อผู้รุกรานยอมถอนตัวออกจากการเกาะกินเลือดเนื้อ
ปล่อยให้ประเทศเหล่านั้นบำรุงร่างกายของตนให้อ้วนพีเสียก่อนจึงจะหาโอกาสเข้ามากระทำการดังเช่นในอดีตเพื่อสนอง "ตัณหา" ของผู้นำประเทศเท่านั้น

ชาติที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรของแผ่นดินย่อมเป็นที่หมายปองของผู้นำประเทศ หากแผ่นดินที่ตนอาศัยอยู่เริ่มผ่ายผอม ก็ย่อมมองไปที่ประเทศอื่นเพื่อหวังสูบเลือดต่อไปตามลำดับ โดยอาศัยเหตุผลต่างๆ นาๆ ที่อ้างขึ้นมา

ยังไม่หวังจะให้เกิดสถานการณ์เช่นนั้นในยุคนี้
เรามานั่งฟังเพลงกันดีกว่า แล้วก็ทำจิตใจให้สงบ

ด้วยเพลง Relaxing Piano Music / Butterfly Images



ขอให้สันติจงยังมีอยู่ในทุกดวงใจ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

รู้จักพรรคประชาธิปัตย์

เวลาที่ผ่านไป

คุณบุญรอด