พุทธทำนาย


          พระพุทธเจ้าทรงทำนายพระสุบินของพระเจ้าปเสนทิโกศลไว้ จำนวน 16 ข้อ และตรัสไว้ว่า เหตุการณ์เหล่านั้นจะเกิดขึ้นในยุคสมัยที่ศาสนาได้เสื่อมลง เนื้อความโดยละเอียดปรากฏอยู่ใน อรรถกถาพระไตรปิฎก มหาสุบินชาดก เอกนิบาตชาดก ขุททกนิกาย ซึ่งในครั้งนี้จะขอยกขึ้นมากล่าวถึงเฉพาะ ข้อที่ 13 เท่านั้น ข้อความมีว่า

          พระเจ้าปเสนทิโกศลกราบทูลพระสุบินถวายพระพุทธเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันได้เห็นศิลาแท่งทึบใหญ่ขนาดเรือนยอด ลอยน้ำเหมือนดังเรือ อะไรเป็นผลแห่งสุบินนี้ พระเจ้าข้า?

          มหาบพิตร ผลแห่งสุบินแม้นี้ ก็จักมีในกาลเช่นนั้นเหมือนกัน ด้วยว่าในครั้งนั้น พระราชาผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรมทั้งหลาย จักพระราชทานยศแก่คนไม่มีสกุล พวกนั้นจักเป็นใหญ่ พวกมีสกุลจักตกยาก ใครๆ จักไม่ทำความเคารพในพวกมีสกุลนั้น จักกระทำความเคารพในพวกที่เป็นใหญ่ฝ่ายเดียว ถ้อยคำของกุลบุตรผู้ฉลาดในการวินิจฉัย ผู้หนักแน่น เช่นกับศิลาทึบ จักไม่หยั่งลงดำรงมั่นในที่เฉพาะพระพักตร์ของพระราชา หรือในที่ประชุมอำมาตย์ หรือในโรงศาล เมื่อพวกนั้นกำลังกล่าว พวกนอกนี้จักคอยเยาะเย้ยว่า พวกนี้พูดทำไม แม้ในที่ประชุมภิกษุ พวกภิกษุก็จักไม่เห็นภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ผู้ควรทำความเคารพว่าเป็นสำคัญ ในฐานะต่างๆ ดังกล่าวมาแล้ว ทั้งถ้อยคำของภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รักเหล่านั้น ก็จักไม่หนักแน่นมั่นคง จักเป็นเหมือนเวลาเป็นที่เลื่อนลอยแห่งศิลาทั้งหลายฉะนั้น ภัยแม้มีสุบินนี้เป็นเหตุ ก็ยังไม่มีแก่มหาบพิตร

          เชื่อแน่ว่าด้วยการใช้ สติและปัญญา ในการพิจารณาคำทำนายของพระพุทธองค์ดังกล่าวข้างต้นก็แทบไม่ต้องมีการอธิบายอะไรเพิ่มเติมอีก  เพราะคำตอบนั้นชัดเจนพอที่ทราบดีว่าเหตุการณ์ดังกล่าวกำลังเกิดขึ้นกับบ้านเมืองเราในสังคมปัจจุบันนี้แล้ว เมื่อสังคมเรามีความเคารพในวัตถุ ยึดถือวัตถุให้มีคุณค่าเหนือกว่าจิตใจ และมีความต้องการในทรัพย์สิยเงินทอง อำนาจบารมีมากกว่าความต้องการที่จะทำความดีให้กับสังคม นี่คือสภาพสังคมปัจจุบันของเราตามคำพุทธทำนายทุกประการ

          ไม่ใช่เป็นเพียงการเสื่อมถอยของศีลธรรม แต่เป็นการเสื่อมถอยจากสภาพความมนุษย์ที่มีความเจริญอย่างแท้จริง
           หากยังคงเข้าใจว่า "ความเจริญ" เป็นเพียงความร่ำรวยด้วยทรัพย์สินเงินทอง ความมั่นคงในฐานะความเป็นอยู่ อำนาจบารมี หรือความเติบโตทางวิทยาการเทคโนโลยี เพราะสิ่งเหล่านี้มีสภาพของวัตถุที่สามารถจับต้องได้ แสวงหาได้ด้วยวิธีการต่างๆ แต่ไม่ใช่สิ่งที่แสดงถึงความเจริญเยี่ยงมนุษย์อย่างแท้จริง
          มนุษย์ควรที่จะวัดความเจริญด้วยสิ่งที่ตนมีอยู่เหนือกว่าสัตว์เดรัจฉานโดยทั่วไป อันได้แก่ ความมีสติ สัมปชัญญะ มีจิตใจที่สามารถรับรู้ได้ ถึงเหตุที่ต้องกระทำ และผลที่จะเกิดขึ้นของทุกการกระทำ

          สภาพของสังคมบีบรัดให้ประชาชนต้องพยายามปรับตัวให้คล้อยตามวิวัฒนาการโลก โอนเอนไปตามกระแสของสังคมโลกที่ประเทศซึ่งอุดมสมบูรณ์ด้วยอำนาจต่างๆ ยกตัวเองขึ้นมาเป็นใหญ่เหนือกว่าประเทศอื่นๆ พยายามเบี่ยงเบนความสนใจของประชาคมโลกให้หันเหออกไปจากเรื่องจริง เพียงเพื่อกอบโกยทรัพยากรของประเทศอื่นมาเป็นของตนด้วยวิธีการต่างๆ อันแยบยล และชักจูงให้ประเทศด้อยพัฒนาที่มีผู้นำอุดมไปด้วยตัณหาเช่นกันต้องคล้อยตามเข้าเบียดเบียนย่ำยีประเทศอื่นโดยไม่สนใจใยดีว่าจะก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผู้ใด? และจะทำให้มีผู้บาดเจ็บล้มตายมากมายเพียงใด? จากการแสวงหาผลประโยชน์เหล่านี้

          กระแสสังคมโลกจึงมีส่วนบีบให้ประชาชนต่างพากันดิ้นรนหนีจากสภาพความยากจนด้วยความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน มากกว่าประโยชน์ของส่วนรวมโดยขาดสำนึกที่ว่า หากไม่มีประเทศชาติแล้วตนเองจะมีชีวิตอยู่อย่างไร? 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

รู้จักพรรคประชาธิปัตย์

เวลาที่ผ่านไป

คุณบุญรอด